อะไรดีกว่ากันระหว่างการวิ่งจ๊อกกิ้ง , การวิ่งและการปั่นจักรยาน
มันไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่าระหว่างการวิ่งจ๊อกกิ้ง , การวิ่ง , ปั่นจักรยาน แบบไหนดีกว่ากันเพราะว่าความต้องการของแต่ละบุคคลนั้นแตกต่างกัน ซึ่งการออกกำลังกายทั้ง 3 อย่างนี้จะมีทั้งประโยชน์และข้อดีข้อเสียในตัวมันเอง รวมไปถึงความเสี่ยงในการได้รับบาดเจ็บด้วย สำหรับเพื่อนๆคนไหนที่มีข้อจำกัดในการออกกำลังกายเนื่องมากจากโรคภัยไข้เจ็บอย่าลืมปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะออกกำลังกายแบบแอโรบิคนะครับ
ประโยชน์ของการวิ่งจ๊อกกิ้งและการวิ่ง
การวิ่งจ๊อกกิ้งและการวิ่งเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่กำลังมองการการออกกำลังกายที่เข้าถึงได้ง่าย , ช่วยให้กระดูกแข็งแรงและสามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้เป็นจำนวนมาก การจ๊อกกิ้งเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิคที่มีความเข็มข้นระดับปานกลาง ในขณะที่การวิ่งเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิคที่มีความเข้มข้นสูงมีความเหมาะสมกับคนที่ต้องการเสริมสร้างความอึด และทั้งการวิ่งจ๊อกกิ้งและการวิ่งนั้นสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุนได้
หากคนที่มีน้ำหนัก 68 กิโลกรัมวิ่งจ๊อกกิ้ง 30 นาที จะช่วยเผาผลาญพลังงานประมาณ 238 แคลอรี่ แต่ถ้าหากคนที่มีน้ำหนัก 68 กิโลกรัมวิ่งนาน 30 นาที จะเผาผลาญได้ 342 แคลอรี่ ดังนั้นการวิ่งจึงช่วยเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าการวิ่งจ๊อกกิ้ง
ประโยชน์ของการปั่นจักรยาน
การปั่นจักรยานจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคข้ออักเสบหรือโรคกระดูกพรุนเพราะไม่ใช่การออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่ต้องแบกน้ำหนักจึงไม่สร้างความตึงเครียดให้กับกระดูกและข้อต่อ คนที่เป็นโรคกระดูกพรุนควรที่จะปั่นจักรยานนิ่งเพื่อตัดความเสี่ยงเรื่องจักรยานล้มออกไป การปั่นจักรยานเป็นได้ทั้งการออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นต่ำไปจนถึงระดับสูง (หากปั่นด้วยความเร็ว 24 กม./ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น)
การปั่นจักรยานยังดีต่อคนที่หาเวลาออกกำลังกายไม่ได้อีกด้วยเพราะเราสามารถปั่นจักรยานไปทำงานหรือไปโรงเรียนแทนการนั่งรถโดยสารได้ ถ้าหากเรามีน้ำหนัก 68 กิโลกรัม การปั่นจักรยานที่ความเร็ว 19.2-22.4 กม./ชั่วโมง จะเผาผลาญพลังงานได้ประมาณ 297 แคลอรี่ และการปั่นจักรยานก็ไม่ทำให้ต้องซื้อรองเท้าบ่อยเท่ากับการวิ่งอีกด้วย
ข้อเสียเปรียบของการวิ่งจ๊อกกิ้งและการวิ่ง
ทั้งสองอย่างนี้มันไม่ดีต่อคนที่เป็นโรคกระดูกพรุน เพราะมันจะเพิ่มการบีบอัดของกระดูกสันหลังและแขนขาด้านล่างทำให้มีโอกาสที่กระดูกจะแตกได้ การเดินบนลู่วิ่งก็อาจมีอุบัติเหตุเช่นเดินตกขอบหรือล้มได้เช่นกัน ส่วนการออกไปวิ่งข้างนอกก็มีความเสี่ยงที่จะหกล้มบนทางเท้าจนข้อเท้าบิดหรือแตกได้ และการวิ่งก็จะทำให้เราต้องเปลี่ยนรองเท้าอยู่เรื่อยๆในทุกระยะทาง 800-960 กม.
ข้อเสียเปรียบของการปั่นจักรยาน
ในตอนที่เราเหงื่อออกตอนปั่นจักรยานสามารถทำให้เกิดการสูญเสียแร่ธาตุได้ และอาจสร้างความเจ็บปวดให้กับคนที่เป็นโรคไขข้อที่มือและเข่า , โรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือหรือโรคเอ็นอักเสบข้อศอกด้านนอก และการหาจักรยานดีๆสักคันก็ต้องมีค่าใช้จ่ายพอสมควร
ข้อควรพิจารณา
ไม่ว่าจะเป็นการจ๊อกกิ้ง , การวิ่งหรือปั่นจักรยานล้วนทำให้เราได้รับบาดเจ็บได้ทั้งนั้น อาการปวดส้นเท้าสามารถเกิดได้จากการวิ่งและการจ๊อกกิ้งและอาจทำให้เนื้อเยื่อที่บริเวณส่วนโค้งของเท้าของเราอักเสบได้ นอกจากนี้ยังอาจมีการบาดเจ็บจากการสึกหรอและการฉีกขาดหลายอย่างที่อาจเกิดขึ้นกับเข่า , ขาและหลัง
การฝึกวิ่งขึ้นลงเนินสูงจะเพิ่มความตึงเครียดให้กับเข่าและข้อเท้า และการบาดเจ็บที่อาจเกิดจากการปั่นจักรยานก็มี Iliotibial band syndrome (ปวดหัวเข่าด้านนอก) , Patellofemoral pain (อาการปวดเข่า) เป็นต้น
แหล่งที่มา :
ไม่พลาดทุกกิจกรรม วิ่ง ปั่นจักรยาน ไตรกีฬา
กด #Seefirst และ #Following กันไว้ ที่
?facebook.com/wheretorunwhentoride
ค้นหางานแข่งวิ่ง ปั่นจักรยาน ไตรกีฬา ทั่วไทย
ง่าย สะดวก พร้อมบทความสาระดีๆ ที่
?www.vrunvride.com
อัพเดท Running, Cycling,
Triathlon, Gadget, Food ได้ที่
?instragram.com/vrunvride
มาซ้อม วิ่ง ?♂ปั่น ?♂ว่าย ?♂ให้สนุกกันที่
?strava.com/clubs/vrunvride
[AD]
?♂วิ่ง?กิน?เที่ยว เรื่องเดียวกัน กับบัตรเครดิต KTC
ลุ้นแพ๊คเกจ ทัวร์ วิ่ง-กิน-เที่ยว ที่ ฮ่องกง
ไปพร้อม พี่ป๊อก อิทธิพล สมุทรทอง,
นาฬิกา SUUNTO 9 และรางวัลอื่นๆ รวมมูลค่ากว่า 8 แสนบาท
รายละเอียดเพิ่มเติม ? bit.ly/วิ่ง-กิน-เที่ยว-KTC
#วิ่งไหนกันปั่นไหนดี #Sports #Running
#Cycling #Triathlon #Swimming