การวิ่งจ๊อกกิ้ง 20 นาที สามารถช่วยลดพุงได้จริงหรือไม่
ในทางทฤษฎีนั้นการวิ่งวันละ 20 นาทีสามารถช่วยเผาไขมันได้ ถึงแม้ว่าเราจะเลือกไม่ได้ว่าไขมันส่วนไหนจะหายไปก่อนก็ตาม แต่หากต้องการผลลัพธ์ที่ดีกว่าก็ให้เพิ่มการออกกำลังกาย กับการปรับเปลี่ยนอาหารเข้าไปด้วย หรือจะทำทั้งสองอย่างร่วมกันก็จะยิ่งดี แต่ประเด็นในวันนี้เราจะมาวิเคราะห์ถึงผลลัพธ์ของการวิ่งจ๊อกกิ้งกับการเผาผลาญไขมันหน้าท้องกัน
ไขมันหน้าท้อง
ก่อนที่จะไปเรื่องอื่นเรามาดูข้อมูลเบื้องต้นของไขมันในร่างกายและไขมันหน้าท้องกันก่อน เรามีไขมันหน้าท้อง 2 แบบ คือ
- Subcutaneous Fat คือไขมันที่สะสมใต้ผิวหนังและสะสมอยู่ทั่วร่างกาย รวมไปถึงบริเวณหน้าท้องด้วย
- Visceral Fat คือไขมันในช่องท้อง จะอยู่ลึกเข้าไปถึงในหน้าท้องและในช่องว่างระหว่างอวัยวะภายใน อ้างอิงข้อมูลจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดระบุว่า การมีไขมันขนิดนี้มากเกินไป จะเพิ่มความเสี่ยงทางสุขภาพ ซึ่งสร้างความเสี่ยงได้มากกว่าไขมันใต้ผิวหนังด้วย
ข่าวดีก็คือไขมันทุกชนิดในร่างกายนั้นเป็นแหล่งสะสมพลังงาน และถ้าหากเรามีการเผาผลาญพลังงานมากกว่าที่เรารับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ร่างกายก็จะเริ่มใช้ไขมันเป็นพลังงาน ซึ่งนี่คือวิธีการลดน้ำหนัก และเพื่อที่เราจะลดน้ำหนักได้ 1 ปอนด์ (0.45 กก.) เราต้องลดแคลอรี่ให้ได้ 3,500 แคล
การวิ่งจ๊อกกิ้งและไขมันหน้าท้อง
การวิ่งจ๊อกกิ้ง 20 นาทีต่อวันจะส่งผลต่อการลดไขมันหน้าท้องแค่ไหน? มันก็ขึ้นอยู่กับระดับของน้ำหนักตัวและความเร็วในการวิ่งของเรา โดยปกติแล้วยิ่งเรามีน้ำหนักมากและยิ่งวิ่งเร็วก็จะยิ่งเผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้น และจากนี้ไปคือข้อมูลการเผาผลาญแคลอรี่ (เพื่อนๆ อาจต้องใช้อุปกรณ์วัดความเร็วมาช่วยด้วย)
สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัว 74 กก.
การวิ่งจ๊อกกิ้งจะเผาผลาญ 174 แคลอรี่ ในเวลา 20 นาที
- หากวิ่งด้วยความเร็ว 5 ไมล์ต่อชั่วโมง (8 กม./ชั่วโมง) จะเผาผลาญ 199 แคลอรี่ใน 20 นาที
- หากวิ่งด้วยความเร็ว 6 ไมล์ต่อชั่วโมง (9.65 กม./ชั่วโมง) จะเผาผลาญ 249 แคลอรี่ใน 20 นาที
- หากวิ่งด้วยความเร็ว 7 ไมล์ต่อชั่วโมง (11.26 กม./ชั่วโมง) จะเผาผลาญ 286 แคลอรี่ใน 20 นาที
สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัว 88.4 กก.
การวิ่งจ๊อกกิ้งจะเผาผลาญ 206 แคลอรี่ ในเวลา 20 นาที
- หากวิ่งด้วยความเร็ว 5 ไมล์ต่อชั่วโมง (8 กม./ชั่วโมง) จะเผาผลาญ 235 แคลอรี่ใน 20 นาที
- หากวิ่งด้วยความเร็ว 6 ไมล์ต่อชั่วโมง (9.65 กม./ชั่วโมง) จะเผาผลาญ 294 แคลอรี่ใน 20 นาที
- หากวิ่งด้วยความเร็ว 7 ไมล์ต่อชั่วโมง (11.26 กม./ชั่วโมง) จะเผาผลาญ 339 แคลอรี่ใน 20 นาที
เพื่อที่เราจะสามารถลดน้ำหนักได้ 1-2 ปอนด์ (0.45-0.9 กก.) ต่อสัปดาห์ ซึ่งอยู่ในระดับที่ปลอดภัยและเป็นอัตราการลดน้ำหนักที่ยั่งยืน เราจะต้องทำให้เกิดการขาดดุลของแคลอรี่ 500-1000 แคลต่อวัน ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของเรา หมายความว่าต้องวิ่งจ๊อกกิ้ง 2 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น
หากเราทานอาหารจนได้รับแคลอรี่ในจำนวนที่เหมาะสมและมีการวิ่งจ๊อกกิ้ง 20 นาทีต่อวัน เราก็ยังคงสามารถลดน้ำหนักและมีหน้าท้องที่เล็กลงได้อยู่ แต่จะใช้เวลานานกว่าที่ระบุไว้ด้านบน
แล้วระดับความเข้มข้นในการออกกำลังกายล่ะ?
ความเข้มข้นในการออกกำลังกายจะส่งผลต่อความเร็วในการลดไขมันหน้าท้องและไขมันในส่วนอื่นๆ ของร่างกายหรือไม่? พวกนักวิจัยก็ยังพยายามหาคำตอบกันอยู่
ผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ลงในวารสาร Diabetes & Metabolism Journal ในปี ค.ศ.2012 ได้มีการค้นหาว่าความเข้มข้นในการออกกำลังกายมีผลต่อการลดไขมันทั้งสองประเภทนี้หรือไม่ หลังจากที่ให้พวกอาสาสมัครออกกำลังกายต่อเนื่อง 12 สัปดาห์ นักวิจัยสรุปว่าการออกกำลังกายแอโรบิคที่มีความเข้มข้นในระดับปานกลาง สามารถลดไขมันทั้งสองชนิดนี้ได้อย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับการไม่ได้ออกกำลังกายเลย ส่วนการออกกำลังกายหนักจะส่งผลต่อการลดไขมันที่อยู่รอบร่างกาย (Subcutaneous Fat) อย่างเห็นได้ชัด
แล้วการออกกำลังกายแบบ HIIT ล่ะ? การออกกำลังกายแนวนี้มักถูกเรียกว่าเป็นทางออกสำหรับการลดไขมันหน้าท้อง แถมยังเห็นผลดีเสียด้วย ผลการวิจัยในปี 2016 ซึ่งถูกตีพิมพ์ลงในวารสาร The Journal of Sports Medicine and Physical Fitness นักวิจัยให้อาสาสมัครวัยกลางคนที่มีสุขภาพดี 39 คน แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม โดยกลุ่มแรกฝึกในโรงยิมและกลุ่มที่สองให้ไปฝึกออกกำลังกายแบบ HIIT
ผลการวิจัยพบว่าอาสาสมัครทั้งสองกลุ่มประสบความสำเร็จในการลดไขมันทั้งสองประเภท แต่อาสาสมัครกลุ่มที่ออกกำลังกายแบบ HIIT จะสามารถลดไขมันทั้งสองประเภทนี้ได้มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
บทสรุปส่งท้าย
หากเรามีการขาดดุลของแคลอรี่ การออกกำลังกายเกือบทุกประเภทสามารถทำให้หน้าท้องแบนขึ้นได้ แต่หากต้องการเห็นผลลัพธ์เร็วขึ้น ก็ไม่เสียหายอะไรที่จะออกกำลังกายแบบ HIIT แล้วก็วิ่งจ๊อกกิ้ง 20 นาทีไปด้วย
ที่มา : https://bit.ly/3u11D3u
เปิดกรุ๊ปให้เพื่อนๆ ที่รักการวิ่ง ไปคุยกัน
🏃 ♂ bit.ly/VRUNGROUP
.
#วิ่งไหนกันปั่นไหนดี #Sports #Running
#Cycling #Triathlon #Swimming