การวิจัยใหม่พบว่าการทำ Intermittent Fasting มีประโยชน์มากกว่าการลดน้ำหนัก
เป็นที่รู้กันดีว่าการทำ Intermittent Fasting หรือ IF มีประโยชน์ในการลดน้ำหนัก แต่ว่ามันมีประโยชน์มากกว่านั้น อย่างเช่นช่วยให้เรามีความต้านทานต่อความเครียดของกล้ามเนื้อมากขึ้น , อายุยืนมากขึ้น , ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วนและมะเร็ง อ้างอิงข้อมูลจาก “มหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์” ซึ่งตีพิมพ์ลงในวารสาร The New England Journal of Medicine
Mark Mattson นักประสาทวิทยาจากมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์กล่าวว่า “พวกเรากำลังอยู่ในจุดเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้เราต้องใส่ความรู้เกี่ยวกับการทำ Intermittent Fasting เข้าไปในระบบการศึกษาพื้นฐานในวิชาเกี่ยวกับสุขภาพและการออกกำลังกาย”
ด้วยการวิเคราะห์จากหลายงานวิจัยในคนและสัตว์ที่มีการควบคุมเวลาในการทานอาหาร นักวิจัยพบว่าการทำ Intermittent Fasting ส่งผลดีมากต่อสุขภาพโดยรวม ในขณะที่สูตรการทำ IF ของแต่ละคนนั้นต่างกัน แต่สูตรที่นักวิจัยเอามาทดลองนั้นมีสองประเภทคือ สูตรที่ให้เรามีเวลาทานอาหาร 6-8 ชั่วโมงต่อวัน และอีกสูตรคือในแต่ละสัปดาห์จะมีอยู่สองวันที่ได้ทานอาหารมื้อเดียว และนักวิจัยก็พบผลลัพธ์ที่ตีต่อสุขภาพกับทั้งสองสูตรนี้

อย่างแรกเลยคือ การวิจัยใหม่ล่าสุดพบว่าการฟาสติ้งช่วยทำให้สุขภาพหัวใจดีขึ้น Mark Mattson ได้เขียนลงใน blog ของมหาวิทยาลัยว่า การฟาสติ้งช่วยลดความเครียด , ส่งเสริมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยลดอาการอักเสบ นอกจากนี้ยังมีอีก 4 งานวิจัยทั้งในคนและในสัตว์ที่พบว่าการฟาสติ้งช่วยลดความดันโลหิต , ระดับไขมันในเลือด , และอัตราการเต้นหัวใจในตอนที่เราพัก ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นกุญแจหลักสู่การมีสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดที่ดี
การฟาสติ้งยังช่วยต่อต้านโรคอ้วนและโรคเบาหวาน มี 2 งานวิจัยจาก U.K. ในกลุ่มอาสาสมัครที่เป็นผู้หญิงมีน้ำหนักเกินจำนวน 100 คน โดยมีการเปรียบเทียบกันระหว่างการฟาสติ้งและวิธีดั้งเดิมคือการนับแคลอรี่ ก็พบว่าผู้หญิงที่ใช้วิธีฟาสติ้งสามารถลดน้ำหนักได้เท่ากับกลุ่มคนที่นับแคลอรี่ แต่จะมีไขมันหน้าท้องน้อยกว่าและมีความไวต่ออินซูลิน (Insulin sensitivity) ที่ดีขึ้น
มีหลักฐานว่าการฟาสติ้งดีต่อสมองด้วย โดยในประเทศแคนาดาได้มีการทดลองให้อาสาสมัครที่อยู่วัยกลางคนเกือบ 200 คน ให้มาไดเอทด้วยการคุมแคลอรี่นานสองปี ก็พบว่าพวกเขามีความจำดีขึ้น

ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะยังเป็นที่เข้าใจน้อยมากว่าการฟาสติ้งส่งเสริมร่างกายให้ไปในทางที่ดีขึ้นได้อย่างไร แต่ Mark Mattson บอกว่าเป็นที่เชื่อกันว่ามันเกี่ยวข้องกับการผลิตพลังงานของเซลล์ในร่างกายเรา การฟาสติ้งจะไปกระตุ้นระบบการเผาผลาญ ทำให้เกิดการปรับตัวของเซลล์ให้เข้ากับการขาดแคลนอาหาร เมื่อร่างกายใช้อินซูลินไปหมดแล้วก็จะเริ่มนำไขมันมาเผาผลาญเป็นพลังงาน ซึ่งเป็นการสับเปลี่ยนแหล่งพลังงานในร่างกาย เมื่อก่อนนี้การฟาสติ้งถูกมองว่าดีต่อการลดน้ำหนัก แต่ในตอนนี้พบว่ามันส่งผลดีต่อสุขภาพในหลายเรื่องและเป็นเรื่องที่สำคัญด้วย
บทสรุป
หากเพื่อนๆ ต้องการประโยชน์ดังที่กล่าวมา ก็ให้เริ่มต้นจากการค่อยๆ ลงมือทำ เพราะเราต้องให้เวลาร่างกายในการปรับตัวด้วย ในช่วงแรกการรู้สึกหิวและหงุดหงิดมันเกิดขึ้นได้ ถือเป็นเรื่องปกติ แต่พอผ่านไปได้ 2 สัปดาห์ถึง 1 เดือนร่างกายจะเริ่มปรับตัวได้
จากนั้นให้ค่อยๆ เพิ่มระยะเวลาและความถี่ในการฟาสติ้งในช่วงไม่กี่เดือนถัดไป ก็จะช่วยให้เราสามารถฟาสได้ง่ายมากขึ้น โดย Mark ได้ขอให้ไว้ใจคำแนะนำของเขา เพราะตัวเขาเองก็ฟาสติ้งมานานกว่า 20 ปีแล้ว
ที่มา : https://bit.ly/3aKsTeI
เปิดกรุ๊ปให้เพื่อนๆ ที่รักการวิ่ง ไปคุยกัน
🏃 ♂ bit.ly/VRUNGROUP
.
#วิ่งไหนกันปั่นไหนดี #Sports #Running
#Cycling #Triathlon #Swimming