วิธีวิ่งมาราธอนให้เก่งขึ้น สำหรับคนที่คิดว่าตัวเองแตะเพดานแล้ว
เชื่อว่าเพื่อนๆคงเคยได้ยินคำว่า “ชนกำแพง” กันมาบ้าง ซึ่งชนกำแพงในที่นี้หมายถึงทั้งร่างกายและจิตใจเลยนะ มันจะเป็นช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่าไม่สามารถเก่งไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว เป็นช่วงที่ร่างกายเริ่มรู้สึกเจ็บและบอกกับเราว่าไปต่อไม่ไหว
เมื่อมีความเจ็บปวดเพิ่มขึ้นนักวิ่งส่วนใหญ่จะเริ่มกังขาในความสามารถของตัวเอง โดยปกติแล้วเราจะไม่รู้สึกแบบนี้ในช่วงที่กำลังฝึกซ้อม ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงที่เราต้องวิ่งระยะไกลก็ตาม
เมื่อร่างกายเริ่มรู้สึกเจ็บมากกว่าในตอนช่วงเดือนที่เตรียมตัวฝึกวิ่ง จิตใจอาจจะเล่นตลกกับเราได้ ทำให้เราเริ่มไม่แน่ใจว่าจะสามารถไปลงแข่งขันได้จริงๆ ซึ่งมันเป็นปัญหาใหญ่เลยทีเดียว
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เราชนกำแพง?
มันเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ซึ่งมันก็ทำให้นักวิ่งส่วนใหญ่เกิดความประหลาดใจอยู่เหมือนกัน ที่ตัวเองต้องเจอกับกำแพง แม้จะผ่านฤดูกาลฝึกซ้อมมาอย่างสม่ำเสมอก็ตาม
สาเหตุอาจเป็นดังนี้
- ไม่ได้มีการฝึกอย่างต่อเนื่อง
- มีคุณภาพหรือการสะสมระยะทางในการวิ่งระยะไกลที่น้อยกว่าที่ควร
- ไม่มีการเติมพลังงานในวันลงแข่ง
- นอนไม่พอหรือมีช่วงสัปดาห์พักผ่อนไม่พอ
- การฝึกที่มากเกินไปหรือการมีระยะทางการวิ่งมากเกินไป
- ไม่ได้รับการสนับสนุนหรือไม่ค่อยมีกำลังใจ
ลักษณะอาการมันจะเป็นอย่างไร?
- รู้สึกเหนื่อยอย่างมาก
- มีอาการเจ็บ , ปวดเมื่อย
- รู้สึกเหนื่อยอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
- พยายามคิดบวกได้ยากมาก
- เริ่มสงสัยว่าตัวเองสมัครลงแข่งไปทำไม
- รู้สึกอยากเลิกหรืออยากยอมแพ้
- รู้สึกท่วมท้นไปด้วยอารมณ์ต่างๆ
- เหนื่อยและเมื่อยมากกว่า หรือมีอาการเจ็บมากกว่าตอนที่ฝึกซ้อม
แม้ว่าการชนกำแพงจะไม่ใช่ประสบการณ์ที่ดี แต่มันทำหน้าที่เป็นเหมือนกับตัวกำหนดเวลาในการวิ่งมาราธอนและมันคุ้มค่ามากที่จะฝ่าฟันไปให้ได้ การวิ่งมาราธอนไม่ใช่ภารกิจง่ายๆ แต่ก็มีหลายอย่างที่เพื่อนๆจะสามารถทำในระหว่างการฝึกและวันลงแข่ง เพื่อปูทางให้เราประสบความสำเร็จ
10 วิธีในการก้าวข้ามกำแพงไปได้

1. เริ่มเติมพลังงานเสียแต่เนิ่นๆ
เริ่มเติมพลังงานก่อนการวิ่งไม่เกิน 1 ชั่วโมง แล้วก็เติมต่อไปในช่วงเวลาที่สั้นลงตามปกติ ถ้าหากการกิน Energy Gel หรืออาหารเติมเชื้อเพลิงให้หมดในคราวเดียวมันยาก ก็ให้กัดคำเล็กไปเรื่อยๆทุกสองสามนาที จนกว่าจะหมดและทำเรื่อยๆทุก 30 นาทีหรือมากกว่านั้นในการแข่งขัน
เคล็ดลับง่ายๆคือเมื่อถึงจุดแจกจ่ายน้ำให้เลือกดื่ม Gatorade สลับกับการดื่มน้ำตามจุดปฐมพยาบาลแต่ละจุด น้ำตาลใน Gatorade จะชดเชยแคลอรี่ที่เสียไป อย่าลืมดื่มน้ำเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น และถ้าหากว่าเพื่อนๆรู้สึกหิวแสดงว่าเว้นช่วงนานเกินไป
2. เริ่มต้นอย่างช้าๆ
ความตื่นเต้นในวันลงแข่งจะช่วยให้เรามีแรงจูงใจ แต่มันอาจทำให้นักวิ่งเริ่มต้นการแข่งขันด้วยการวิ่งเร็วเกินไปโดยที่ไม่รู้ตัว ดังนั้นตอนเริ่มต้นควรหลีกเลี่ยงการวิ่งเร็วเกินไป ซึ่งมันจะทำให้เรากลายเป็นผู้รั้งท้ายในภายหลัง ถ้าตอนแรกเห็นใครวิ่งเร็วก็ปล่อยเขาไปเลย
3. ท่องไว้
ท่องไว้เลยว่า “มันเป็นความเจ็บปวดแค่ชั่วคราว” มันจะคอยช่วยเตือนว่าสิ่งที่เรากำลังเจออยู่นั้นจะไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป มันจะช่วยให้เราลืมเรื่องกำแพงและความท้อแท้ไปได้ เพื่อนๆลองไปหาประโยคคิดด้านบวกมาท่องดูนะ ช่วยได้จริง
4. มีสติจดจ่อกับปัจจุบัน
อย่ามัวสนใจความเจ็บปวดจนลืมสังเกตสิ่งรอบตัว ให้คอยสังเกตฝูงชน , นักวิ่งคนอื่นๆ พลังงานและทุกสิ่งทุกอย่าง คอยเตือนตัวเองว่านี่มันเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต พยายามสนใจสิ่งรอบตัวแทนที่จะสนใจความเจ็บปวด จำให้ได้ว่าทำไมเราสมัครมาลงแข่ง แล้วทำไมต้องเลือกระยะทางมาราธอน และสิ่งที่เราคาดหวังจะได้รับจากประสบการณ์นี้
5. พบกับผู้คนรอบตัว
การวิ่งมาราธอนเป็นการเข้าสังคมได้มากกว่าที่คิดไว้ มันเป็นเรื่องยากที่เราจะไม่ได้มองหรือพยักหน้าให้ใครเลย รวมไปถึงแม้แต่การทำความรู้จักคนที่วิ่งข้างๆ นักวิ่งเกือบทุกคนจะต้องเจอกับกำแพงในวันลงแข่งขัน วิธีที่ดีที่สุดคือคอยสนับสนุนกันและกัน เพราะเราไม่ได้เจอความเหนื่อยอยู่คนเดียว จงใช้โอกาสในการทำความรู้จักพบปะผู้คนจากทั่วโลกที่มาร่วมงานแข่งขัน
6. ทานอาหารเช้าให้เพียงพอ
นักวิ่งส่วนใหญ่จะมีช่องว่างในช่วงเวลาตื่นนอนจนถึงช่วงแข่งขัน โดยเฉพาะงานแข่งขันใหญ่ที่ต้องมีการเดินทาง การทานอาหารที่โรงแรมอาจทำให้ต้องพักก่อนการลงแข่งถึง 2-3 ชั่วโมง ถ้าจะให้ดีควรเตรียมอาหารเช้าเบาๆหรือของว่างเอาไว้ เพื่อให้พกพาติดตัวไปได้ด้วย แล้วแบ่งเวลาในการทานของว่างนี้ให้ดี การเติมเชื้อเพลิงไว้ล่วงหน้าจะช่วยลดความกังวลว่าต้องเจอกำแพงได้เป็นอย่างดี
7. ถ้าจำเป็นก็เดินได้เลย
สุดท้ายแล้วเป้าหมายของเราคือต้องจบการแข่งขันให้ได้ เพื่อนๆสามารถเดินได้ถ้าจำเป็นการเดินเป็นระยะทาง 1 ไมล์ (1.6 กม.) ก็นับว่าเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใกล้เส้นชัยได้
มันเป็นเรื่องยากในการคาดเดาสภาพอากาศในวันลงแข่ง หรือคิดว่าจะนอนหลับเพียงพอหรือไม่ หากต้องเจอกับกำแพงให้เตือนตัวเองว่าไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องที่โอเคหากเราจะเดินเมื่อหมดแรง
8. อุทิศให้กับระยะทางทุกกิโลเมตร
เราควรมีจุดประสงค์ในการวิ่งไม่ว่าจะเพื่อใครสักคนหรือสาเหตุอื่นๆ และในทุกกิโลเมตรก็ให้คิดไปเลยว่า เรามาวิ่งเพื่อใครหรือสาเหตุอะไร โดยเฉพาะในตอนที่อะไรๆมันเริ่มยาก
9. จำให้ได้ว่าเราเริ่มต้นการวิ่งไปทำไม
เมื่อทุกอย่างดูเหมือนจะล้มเหลว ให้เตือนตัวเองว่าออกวิ่งไปเพราะอะไร เมื่อเริ่มเจอกำแพงหลังจากวิ่งไปแล้วสัก 20 ไมล์หรือ 32 กม. มันก็ง่ายที่เราจะลืมความตื่นเต้นตอนฝึกซ้อมไปจนหมด ต้องเตือนตัวเองว่าที่ผ่านมาต้องทำอะไรบ้างถึงมาไกลได้ขนาดนี้ และเราเข้าใกล้เป้าหมายไปมากแค่ไหนแล้ว
10. ยิ้ม
ไม่มีอะไรที่จะหลอกสมองได้ดีไปกว่าการยิ้มอีกแล้ว
ไม่ว่าเพื่อนๆจะฝึกฝนหรือเตรียมตัวมาดีแค่ไหน กำแพงมันก็พร้อมที่จะนำมาสู่ความท้าทาย จงแข็งแกร่งเข้าไว้ รักษาความมุ่งมั่นเอาไว้ เตือนตัวเองว่าอยู่ใกล้เป้าหมายแค่ไหน รางวัลที่ได้จากการพิชิตกำแพงนั้นคุ้มค่าเสมอ
ที่มา : https://bit.ly/3mlsZjj
เปิดกรุ๊ปให้เพื่อนๆ ที่รักการวิ่ง ไปคุยกัน
🏃 ♂ bit.ly/VRUNGROUP
.
#วิ่งไหนกันปั่นไหนดี #Sports #Running
#Cycling #Triathlon #Swimming