Heel to Toe drop คืออะไร ทำไมถึงสำคัญกับการเลือกซื้อรองเท้าวิ่ง
เมื่ออ่านรายละเอียดเกี่ยวกับรองเท้าวิ่งตามเว็บไซต์ต่างๆ ทุกคนคงเคยเห็นคำว่า Heel to Toe drop (HTT) หรือที่ใครหลายคนมักเรียกสั้นๆ ว่า “Drop” ระบุไว้ในสเปครองเท้าวิ่งทุกยี่ห้อ ซึ่งมันเป็นค่าที่ถูกใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการตัดสินใจเลือกซื้อรองเท้าของนักวิ่งด้วย นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญยังระบุว่าการเลือก Drop ของรองเท้าให้เหมาะสมกับเท้าของเราสามารถลดความเสี่ยงในการได้รับบาดเจ็บ และช่วยให้การวิ่งของเราสนุกขึ้นได้
เราไปทำความรู้จักกันว่า Heel to Toe drop คืออะไร ทำไมถึงสำคัญกับการเลือกซื้อรองเท้าวิ่ง
Heel to Toe drop คืออะไร
Heel to Toe drop คือตัวเลขที่บอกความต่างระดับความสูงของรองเท้า ระหว่างส้นเท้ากับปลายนิ้วเท้า มีหน่วยวัดเป็น ‘มิลลิเมตร’ และมักจะใช้คำย่อว่า drop หรือ offset แทนในความหมายเดียวกัน
พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ Heel to Toe drop เป็นค่าส่วนต่างความลาดเอียงจากด้านหลังไปจนถึงปลายด้านหน้าของรองเท้านั่นเอง

ตัวอย่างเช่น รองเท้าวิ่งไนกี้รุ่น Nike React Infinity Run Flyknit ระบุค่า Heel to Toe drop / Drop / Offset เป็น 9 มม. นั่นหมายความว่า เมื่อเราสวมรองเท้าคู่นี้ระดับส้นเท้าของเราจะสูงกว่าปลายเท้า 9 มม. ซึ่งคำนวณมาจากความสูงส้นเท้า 33 มม. ลบกับความสูงปลายเท้า 24 มม. ดูภาพประกอบไปด้วยจะทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
ที่มาของ Heel to Toe drop
ย้อนไปเมื่อ 50 ปีที่แล้ว รองเท้าวิ่งเกือบทั้งหมดเป็นรองเท้าที่มีลักษณะแบนราบ ด้านหน้าและด้านหลังของรองเท้าสูงเท่ากัน ยังไม่มีการออกแบบรองเท้าให้มีความลาดเอียง ซึ่งในสมัยปัจจุบันจะเรียกรองเท้าลักษณะนี้ว่า ‘Zero Drop’
ต่อมาในช่วงต้นปี 1970 เริ่มมีผู้คนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นนักกีฬาหันมาวิ่งกันเยอะมากขึ้น ประกอบกับบริษัทผู้ผลิตรองเท้าวิ่งอยากพัฒนาปรับปรุงพื้นรองเท้า midsole ให้นุ่มขึ้นเพื่อให้ผู้ใช้ใส่สบายมากขึ้น จึงมีการผลิตรองเท้าที่มี drop 10-12 มม. ออกมาใช้งานกันอย่างแพร่หลาย
Jonathan Beverly ผู้เขียนหนังสือ Your Best Stride และเคยเป็นอดีตบรรณาธิการรองเท้าของนิตยสาร Runner’s World กล่าวว่า การเพิ่มความนุ่มที่บริเวณส้นรองเท้าให้ต่างกับปลายรองเท้าจะช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อน่องและเอ็นร้อยหวายได้
จนกระทั่งมีเนื้อหาในหนังสือ Born to Run ที่เป็นหนังสือขายดีมีคนนิยมอ่านเยอะได้จุดประกายเรื่องการวิ่งเท้าเปล่าขึ้นมา โดยกล่าวว่าการสวมใส่รองเท้าที่มี drop น้อยๆ หรือไม่มีเลย (Zero Drop) จะทำให้การเคลื่อนไหวของเท้าและข้อเท้าขณะวิ่งเป็นธรรมชาติมากขึ้น และกระจายแรงกระแทกได้อย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าแนวคิดนี้จะไม่ได้เป็นที่แพร่หลายมากนักก็ตาม แต่ในปัจจุบันเรายังคงเห็นรองเท้าวิ่งที่ผลิตออกมาให้สอดคล้องกับความคิดนี้มีวางขายอยู่ อย่างเช่นแบรนด์ Hoka One One ที่ออกแบบรองเท้าวิ่งให้มีค่า drop 4 มม. และแบรนด์ Altra ที่ผลิตรองเท้าแบบ zero-drop ออกมาวางขาย
Altra Escalante 2 (zero-drop)

Heel to Toe drop มีความสำคัญอย่างไร
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารเวชศาสตร์การกีฬาของสหรัฐอเมริกาในปี 2016 ได้ทำการติดตามพฤติกรรมของนักวิ่งสามกลุ่มเป็นเวลาหกเดือน โดยแต่ละกลุ่มสวมใส่รองเท้าที่เหมือนกันทุกอย่าง ยกเว้นค่า Heel to Toe drop เท่านั้นที่แตกต่างกัน ดังนี้
- กลุ่มที่ 1 สวมใส่รองเท้าวิ่งที่มีขนาด drop เป็น 0 มม.
- กลุ่มที่ 2 สวมใส่รองเท้าวิ่งที่มีขนาด drop เป็น 6 มม.
- กลุ่มที่ 3 สวมใส่รองเท้าวิ่งที่มีขนาด drop เป็น 10 มม.
และผลการศึกษาที่ได้ออกมาก็คือ มีนักวิ่งประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ในแต่ละกลุ่มที่ได้รับบาดเจ็บจากการวิ่ง ซึ่งสรุปได้ว่ายังไม่มีหลักฐานที่ยืนยันได้ว่า drop ของรองเท้ามีผลต่ออัตราการบาดเจ็บของนักวิ่ง แต่อาจมีผลกับนักวิ่งที่เคยมีประวัติการได้รับบาดเจ็บในร่างกายมาก่อน
คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
Abby Douek นักกายภาพบำบัดและเจ้าของศูนย์บำบัด Run Raleigh Physical Therapy และ Performance Lab ในรัฐนอร์ทแคโรไลนาแนะนำว่า
- โดยปกติแล้วนักวิ่งที่มีลักษณะการวิ่งแบบลงน้ำหนักไปที่หน้าเท้า (forefoot) หรือกลางเท้า (midfoot) หรือที่เรียกว่า Natural Run (วิ่งลงเท้าตามธรรมชาติ) จะสามารถสวมใส่รองเท้าที่มี drop 4 มม. ได้อย่างไม่มีปัญหา เพราะยิ่งค่า drop ลดลงมากเท่าไหร่ การเคลื่อนไหวของน่องและข้อเท้าก็ยิ่งมีความยืดหยุ่นมากขึ้นเท่านั้น

- แต่นักวิ่งที่มีอาการน่องตึงหรือมีลักษณะการวิ่งแบบลงน้ำหนักไปที่ส้นเท้า (heel strike) ควรสวมรองเท้าที่มีค่า drop ตั้งแต่ 10 ถึง 12 มิลลิเมตร

- ส่วนนักวิ่งที่มีอาการเอ็นร้อยหวายอักเสบ อาจต้องเพิ่มระดับมากกว่านั้นเพื่อลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ

- ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่า นักวิ่งที่มีปัญหาเรื่องหัวเข่าเรื้อรัง จะได้รับประโยชน์จากการสวมใส่รองเท้าที่มีค่า drop น้อยๆ เพราะจะทำให้แรงกระแทกจากเข่าถึงขาลดลง แต่จงจำไว้ว่าแรงกระแทกนั้นไม่ได้หายไปไหน เพียงแค่ย้ายไปลงตรงจุดอื่นของร่างกายเท่านั้นเอง
- โดยทั่วไปแล้วการสวมใส่รองเท้าที่มีค่า drop สูง จะช่วยซัพพอร์ตขาส่วนล่าง ตั้งแต่น่อง ข้อเท้า เอ็นร้อยหวาย แต่จะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณหัวเข่าและสะโพกมีความตึงเครียดมากขึ้น
- ในทางกลับกันรองเท้าที่มีค่า drop ต่ำ จะช่วยซัพพอร์ตหัวเข่า และในขณะเดียวกันก็ทำให้กล้ามเนื้อขาส่วนล่างตึงเครียดแทน
บทสรุป
ไม่มีคำแนะนำที่ชัดเจน ว่าเราควรเลือกรองเท้าที่มีค่า drop เท่าไหร่ เพราะมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับประวัติการเจ็บป่วยเพียงอย่างเดียว ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาร่วมกันด้วย อย่างเช่น ความเร็วในการวิ่ง , ลักษณะการลงเท้า , ความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลที่นักวิ่งแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน
สำหรับคำแนะนำในการเลือกซื้อรองเท้าวิ่งจากผู้เชี่ยวชาญทั้งสองคนก็คือ เราจำเป็นต้องรู้ก่อนว่ารองเท้าวิ่งคู่ที่ใช้งานอยู่มีค่า drop เท่าไหร่ หากเป็นนักวิ่งที่ไม่ได้มีอาการบาดเจ็บเรื้อรังใดๆ ให้เลือกใส่รองเท้าวิ่งที่มีค่า drop เท่าไหร่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับความรู้สึกสบายขณะสวมใส่ของแต่ละคนได้เลย แต่ถ้าหากอยากลองลด drop ของรองเท้าคู่ใหม่ดู ก็แนะนำให้ลองลดลงครั้งละไม่เกิน 2 มม. เพื่อป้องกันการบาดเจ็บจากการที่ร่างกายปรับตัวจากความเปลี่ยนแปลงของรองเท้าไม่ทัน
ที่มา : https://bit.ly/3c9DrTj
เปิดกรุ๊ปให้เพื่อนๆ ที่รักการวิ่ง ไปคุยกัน
🏃 ♂ bit.ly/VRUNGROUP
.
#วิ่งไหนกันปั่นไหนดี #Sports #Running
#Cycling #Triathlon #Swimming