การยืดกล้ามเนื้อ เป็นสิ่งที่ควรทำควบคู่ไปกับการฝึกวิ่งรวมไปถึงการออกกำลังกายอย่างอื่นด้วยเช่นกัน สำหรับในบทความนี้เราจะพาเพื่อนๆมาเจาะลึกเกี่ยวกับประโยชน์จากการยืดกล้ามเนื้อ, ท่ายืดกล้ามเนื้อแบบ Dynamic Stretching กับ Static Stretching ต่างกันอย่างไร, เราควรยืดกล้ามเนื้อตอนไหน, เคล็ดลับในการฝึกท่าประเภท Static Stretching และปิดท้ายด้วย 10 กระบวนท่ายืดกล้ามเนื้อที่ดีที่สุดสำหรับนักวิ่ง
ประโยชน์ของท่ายืดกล้ามเนื้อ
การวิจัยพบว่า การยืดกล้ามเนื้อก่อนการออกกำลังกาย โดยใช้ท่ายืดกล้ามเนื้อประเภท Dynamic Stretching และยืดกล้ามเนื้อหลังการออกกำลังกาย โดยใช้ท่าประเภท Static Stretching จะช่วยให้ร่างกายสามารถรักษาความแข็งแรงและป้องกันอาการบาดเจ็บได้ การยืดกล้ามเนื้ออาจช่วยเพิ่มระยะการเคลื่อนไหวของข้อต่อ , ช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ, ลดความเมื่อยล้าหลังการออกกำลังกาย , ลดโอกาสในการได้รับบาดเจ็บ , เสริมสร้างความแข็งแรง , ช่วยในการหลีกเลี่ยงการเป็นตะคริว , ส่งเสริมสมรรถนะโดยรวม และเพิ่มการไหลเวียนโลหิตได้ ดังนั้นให้พยายามยืดเหยียดกล้ามเนื้อ 5 นาทีก่อนออกกำลังกาย และ 5 นาทีหลังออกกำลังกายในแต่ละครั้ง
ความแตกต่างระหว่าง ท่ายืดกล้ามเนื้อแบบ Dynamic Stretching และ Static Stretching
Dynamic Stretching
ท่าประเภท Dynamic Stretching จะช่วยให้เกิดการทำงานของร่างกายผ่านท่วงท่าที่ลอกเลียนแบบมาจากการออกกำลังกาย ซึ่งในกรณีของพวกเราก็คือการวิ่งนั่นเอง ท่าประเภทนี้ใช้ฝึกก่อนการวิ่งเพื่อให้ร่างกายเตรียมพร้อมรับมือกับการวิ่งจริงๆ ยกตัวอย่างเช่น ท่าเตะก้น Butt Kicks , Walking Lunge และท่า Body Weight Squat เป็นต้น
Static Stretching
ท่ายืดกล้ามเนื้อประเภทนี้เป็นท่ายืดตัวที่ไม่มีการเคลื่อนไหว เราจะแค่ยืดกล้ามเนื้ออยู่กับที่ภายในช่วงเวลา 45-60 วินาที กล้ามเนื้อของเราจะไม่ได้อยู่ในระยะการเคลื่อนไหวตามปกติ มีบางงานวิจัยที่พบว่าควรมีการยืดเหยียดกล้ามเนื้อหลังการวิ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียพละกำลังระหว่างการวิ่ง ซึ่งเรื่องนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่
เมื่อไหร่ที่เราควรมีการยืดกล้ามเนื้อ
เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับโค้ชและวิธีการฝึกของเราด้วย ดังนั้นในบทความนี้จะเป็นเพียงการยกตัวอย่างเท่านั้น
- ก่อนการฝึกวิ่งเพื่อเพิ่มความเร็ว Speed workout , วิ่งระยะไกล หรือการลงแข่ง ควรมีการวิ่งจ๊อกกิ้งเบาๆ 5-10 นาที หรือการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอที่มีแรงกระแทกน้อย เช่น การใช้เครื่อง elliptical หรือปั่นจักรยานแบบยึดอยู่กับที่
- ต่อมาก็ต้องมีการวอร์มอัพ 5 นาทีด้วยท่ายืดกล้ามเนื้อแบบ Dynamic Stretching มีการยืดกล้ามเนื้อในระดับกำลังพอดี ซึ่งท่า Dynamic มันจะช่วยเปิดการทำงานให้กับกล้ามเนื้อ , เส้นเอ็นและเนื้อเยื่ออ่อน เพื่อเตรียมตัวพร้อมรับมือกับการออกกำลังกายที่กำลังจะมาถึง
- ไม่ว่าจะเป็นการฝึกวิ่งแบบ Intervals , การวิ่ง Recovery หรือการวิ่งระยะไกล ก็ให้เราฝึกตามที่ผู้ฝึกสอนกำหนด
- จากนั้นหลังวิ่งให้คูลดาวน์อย่างน้อย 5 นาที ด้วยการวิ่งจ๊อกกิ้งเบาๆ หรือเดินก็ได้
- ต่อมาก็ให้ฝึกท่ายืดกล้ามเนื้อแบบ Static Stretching ก็ถือว่าจบการฝึกแล้ว
เราจะใช้ท่า Static ในช่วงท้ายการฝึกเพื่อช่วยในการคูลดาวน์ เพิ่มความยืดหยุ่น และลดความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ ในช่วงจบการฝึกเราจะใช้เวลาไม่กี่นาทีในการยืดกล้ามเนื้อหลัก เช่น กลุ่มกล้ามเนื้อขา (กล้ามเนื้อควอท , กล้ามเนื้อด้านหลังต้นขา , กล้ามเนื้อสะโพกและน่อง)
เคล็ดลับในการฝึกท่า Static Stretching
- ให้เรายืดกล้ามเนื้อนาน 45-60 วินาที เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี
- ให้เราพยายามผ่อนคลายกล้ามเนื้อในระหว่างที่มีการยืดกล้ามเนื้อ
- หายใจลึกๆในช่วงที่ยืดกล้ามเนื้อ โดยในทุกการหายใจออก เราสามารถพยายามยืดระยะให้ไกลขึ้นเล็กน้อย
- ควรยืดกล้ามเนื้ออย่างนุ่มนวล ควรรู้สึกตึงเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับเจ็บ ถ้ารู้สึกเจ็บ ก็ให้ลดการยืดลงหรือหยุดไปเลย
และจากนี้ไปคือกระบวนท่ายืดกล้ามเนื้อที่ดีที่สุดสำหรับนักวิ่ง โดยจะมีบางท่าที่ช่วยยืดกล้ามเนื้อทุกส่วนที่ต้องใช้ในการวิ่ง ซึ่งสามารถเอาไปใช้ได้เป็นประจำหลังการวิ่งได้เลย
10 ท่ายืดกล้ามเนื้อที่ดีที่สุดสำหรับนักวิ่ง
1. Standing quad stretch
ให้ทำตามนี้เลย
- เริ่มต้นด้วยการยืนกางขาให้กว้างเท่าหัวไหล่
- งอเข่าขวาขึ้นมาที่ด้านหลังและดึงส้นเท้าเข้าหาก้นข้างขวา
- ใช้มือขวาจับเท้าขวายึดเอาไว้
- ค่อยๆดึงส้นเท้าขึ้นมาและดึงเข้าหาสะโพก เข่าต้องงอตลอดเวลา
- ยืดกล้ามเนื้อให้ได้ 45-60 วินาที
- ต่อไปก็ให้เปลี่ยนไปยืดขาอีกข้างนึง
2. ท่า Lying Hamstring Stretch With Resistance Band
สำหรับท่านี้เราจะต้องใช้สายยางยืดออกกำลังกาย หรืออาจจะใช้ผ้าเช็ดตัวก็ได้
- นอนลงกับพื้นขาชี้ตรงทั้งสองข้าง
- เอาสายรัดวางลงบนฝ่าเท้าขวา และใช้มือทั้งสองข้างดึงสายรัดไว้เหมือนในคลิปวิดีโอ
- ยกขาขวาเข้าหาตัวเราจนกระทั่งตั้งฉากกับตัวเรา
- ใช้สายยางยืด ดึงขาเข้าหาตัวเบาๆ จนกระทั่งรู้สึกได้ถึงการยืดของกล้ามเนื้อ เข่าต้องยืดตลอดเวลา
- แผ่นหลังและขาอีกข้างของเราต้องแนบกับพื้นตลอดเวลา
- ทำค้างไว้ 45-60 วินาที
- เปลี่ยนไปยืดขาข้างซ้าย
3. ท่า Floor Figure Four Glute Stretch
- เริ่มด้วยการนั่งลงบนพื้น นำขาขวามาวางไว้ด้านหน้า ขาซ้ายไว้ด้านหลัง ขาทั้งสองข้างงอ 90 องศา
- หลังของเราต้องตรงตลอดเวลา ก้มตัวลงไปด้านหน้า ไปทางเข่าขวา นำข้อศอกวางลงบนพื้นเท่าที่จะทำได้ แต่อย่าไปไกลจนถึงขั้นทำให้เราเปลี่ยนท่าทางหรือทำให้หลังงอ หลังของเราต้องเป็นเส้นตรงตลอดเวลานะ
- พยายามก้มลงให้ไกลขึ้นอีกนิด โดยในทุกลมหายใจให้เราค่อยๆยืดมากขึ้น
- ทำค้างไว้ 45-60 วินาที
- เปลี่ยนข้าง
4. ท่า Standing Side IT Band Stretch
- ยืดตัวตรง ยืนให้สูงๆเข้าไว้
- เอาขาซ้ายไปด้านหลัง ให้ขาซ้ายไขว้กับขาขวา วางด้านข้างของฝ่าเท้าซ้ายลงพื้น
- ยืดแขนขวาขึ้นเหนือศีรษะ
- เอียงลำตัวไปทางด้านซ้ายจนกว่าจะรู้สึกว่ามีการยืดกล้ามเนื้อ
- ทำค้างไว้ 45-60 วินาที จากนั้นให้เปลี่ยนข้าง
5. ท่า Lunging Calf Stretch
- ยืนตัวตรง ยืดตัวสูง
- ก้าวเท้าซ้ายมาด้านหน้าโดยงอเข่าลงเล็กน้อย
- เอนตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย หลังต้องตั้งตรงตลอดเวลา
- กดส้นเท้าขวาลงบนพื้นเพื่อยืดกล้ามเนื้อน่อง
- ทำค้างไว้ 45-60 วินาที จากนั้นให้เปลี่ยนข้าง
6. Heel sits (ยืดหน้าแข้ง)
- นั่งคุกเข่า โดยเอาด้านบนของเท้าวางราบลงกับพื้น
- นั่งลงไปให้ไกลที่สุดจนกระทั่งรู้สึกว่ามีการยืดกล้ามเนื้อ และเพื่อที่จะยืดให้ลึกกว่าเดิมถ้าทำได้ก็ให้นั่งลงไปถึงส้นเท้าเลย
- ทำให้ได้ 45-60 วินาที
7. ยืดข้อเท้าด้วยสายยางออกกำลังกาย
- นั่งลงกับพื้นแล้วยืดขาทั้งสองข้างออกไปด้านหน้า
- วางสายยางยืดลงบนฝ่าเท้าทั้งสองข้าง
- ดึงสายรัดจนสามารถชี้นิ้วเท้าขึ้นมาตรงๆ
- ทำค้างไว้ 45-60 วินาที
- งอเท้า ดึงเท้าหาตัวเรา แล้วค้างไว้อย่างนั้นอีก 30-45 วินาที
8. ท่า Lunge สำหรับยืดกล้ามเนื้อง้อสะโพก (Hip Flexer)
- เริ่มต้นโดยอยู่ในท่า Lunge โดยขาซ้ายอยู่ด้านหน้าและงอ 90 องศา วางเข่าขวาไว้ด้านใต้ลำตัว
- ใช้กล้ามเนื้อแกนกลางในการตั้งตัวตรง เราสามารถวางมือไว้ด้านข้างสะโพก หรือจะวางไว้ที่เข่าซ้ายซึ่งอยู่ด้านหน้าเรา หรือวางทิ้งไว้บนพื้นหากเรามีความยืดหยุ่นพอที่จะทำได้
- เคลื่อนลำตัวและเข่าซ้ายไปด้านหน้า ลำตัวต้องตั้งตรงตลอดเวลา
- ทำค้างไว้ 45-60 วินาที
- ทำซ้ำโดยเปลี่ยนข้าง
9. ท่า Open Lunge สำหรับยืดกล้ามเนื้อสะโพก
ท่านี้ช่วยยืดกล้ามเนื้อได้ทั้งตัว จัดเป็นท่า Dynamic stretch และต้องมีการเคลื่อนไหวตลอดแทนที่จะยืดค้างไว้เฉยๆ
- เริ่มต้นโดยทำท่า Plank โดยเอาฝ่ามือวางบนพื้น และข้อมือ ศอกและไหล่ต้องเรียงกันเป็นเส้นตรง
- ยกเท้าขวามาด้านหน้า วางไว้ข้างฝ่ามือขวา เข่างอ 90 องศา
- ยืดขาซ้ายตรงไปด้านหลัง ส่วนเข่าขวาอยู่ด้านหน้า ดึงพวกมันให้ออกไปทางด้านตรงข้าม แต่ต้องให้หลังเป็นเส้นตรงตลอดเวลา
- หมุนลำตัวไปด้านขวา ยืดแขนขวาเป็นเส้นตรงไปด้านบน
- สายตาของเราควรมองไปที่มือขวาซึ่งอยู่ด้านบน
- ทำค้างไว้ 45-60 วินาทีแล้วจึงเปลี่ยนข้าง
10. ท่า Pigeon Pose (ท่านกพิราบ)
ท่านี้เป็นท่าโยคะ
- ให้เริ่มต้นท่านี้ด้วยการอยู่ในท่า “สุนัขก้มหน้า (Downward facing dog)”
- นำเข่าขวามาไว้ด้านหน้าข้อมือขวา ขาซ้ายต้องชี้ตรงไปด้านหลังตลอดเวลา
- งอเข่าขวา และค่อยๆหย่อนก้นขวาลงพื้นอย่างนุ่มนวล
- ก้มลำตัวลงไปที่ขาข้างขวา ยืดแขนตรงไปด้านหน้าโดยงอศอกเล็กน้อย
- ทำค้างไว้ 45-60 วินาทีแล้วจึงเปลี่ยนข้าง
แหล่งที่มา :
เปิดกรุ๊ปให้เพื่อนๆ ที่รักการวิ่ง ไปคุยกัน
🏃 ♂
.
#วิ่งไหนกันปั่นไหนดี #Sports #Running
#Cycling #Triathlon #Swimming