หากเพื่อนๆ เคยวิ่งระยะทาง 5k , 10k และฮาล์ฟมาราธอนมาแล้ว และมีความต้องการจะฝึกวิ่งมาราธอนก็สามารถใช้โปรแกรมการฝึกนี้ได้เลย โปรแกรมนี้สามารถใช้ได้กับคนที่กำลังจะวิ่งมาราธอนเป็นครั้งแรก ไม่ได้เน้นการวิ่งทำเวลาแต่สามารถทำให้ทุกคนวิ่งไปถึงเส้นชัยได้อย่างแน่นอน ขอให้เพื่อนๆ ทำตามโปรแกรมการฝึกอย่างเคร่งครัดก็แล้วกัน
โปรแกรมฝึกวิ่งมาราธอน 16 สัปดาห์
สัปดาห์ที่ 1
- วันจันทร์ : วิ่ง Easy 20 นาที
- วันอังคาร : พัก
- วันพุธ : วิ่งจ๊อกกิ้งวอร์มอัพ 5 นาที ตามด้วยการวิ่งเทมโป 20 นาที ปิดท้ายด้วยการวิ่งจ๊อกกิ้งเพื่อคูลดาวน์ 5 นาที
- วันพฤหัส : ฝึก Strength Training โปรแกรมที่ 1 (รายละเอียดจะเขียนไว้ในส่วนหลังของบทความ)
- วันศุกร์ : วิ่งฟื้นตัว 15 นาที หรือฝึก Cross Training เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เล่นโยคะ
- วันเสาร์ : พัก
- วันอาทิตย์ : วิ่งระยะไกล 8-11.26 กิโลเมตร
สัปดาห์ที่ 2
- วันจันทร์ : วิ่ง Easy 25 นาที
- วันอังคาร : พัก
- วันพุธ : วิ่งขึ้นเนิน 20 วินาที 8 รอบ โดยหลังแต่ละรอบให้วิ่งจ๊อกกิ้งพัก 1 นาที
- วันพฤหัส : ฝึก Strength Training โปรแกรมที่ 1
- วันศุกร์ : วิ่งฟื้นตัว 20 นาที หรือฝึก Cross Training เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เล่นโยคะ
- วันเสาร์ : พัก
- วันอาทิตย์ : วิ่ง 45 นาที
สัปดาห์ที่ 3
- วันจันทร์ : วิ่ง Easy 30 นาที
- วันอังคาร : พัก
- วันพุธ : วิ่ง Interval 200 เมตร 10 รอบ หลังการวิ่งแต่ละรอบให้วิ่งจ๊อกกิ้งพัก 1 นาที
- วันพฤหัส : ฝึก Strength Training โปรแกรมที่ 1
- วันศุกร์ : วิ่งฟื้นตัว 25 นาที หรือฝึก Cross Training เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เล่นโยคะ
- วันเสาร์ : พัก
- วันอาทิตย์ : วิ่งระยะไกล 12.87-14.48 กิโลเมตร
สัปดาห์ที่ 4
- วันจันทร์ : วิ่ง Easy 35 นาที
- วันอังคาร : พัก
- วันพุธ : วิ่งจ๊อกกิ้งวอร์มอัพ 5 นาที ตามด้วยการวิ่งเทมโป 30 นาที ปิดท้ายด้วยการวิ่งจ๊อกกิ้งเพื่อคูลดาวน์ 5 นาที
- วันพฤหัส : ฝึก Strength Training โปรแกรมที่ 1
- วันศุกร์ : วิ่งฟื้นตัว 30 นาที หรือฝึก Cross Training เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เล่นโยคะ
- วันเสาร์ : พัก
- วันอาทิตย์ : วิ่ง 60 นาที
สัปดาห์ที่ 5
- วันจันทร์ : วิ่ง Easy 40 นาที
- วันอังคาร : พัก
- วันพุธ : วิ่งขึ้นเนิน 30 วินาที 8 รอบ โดยหลังแต่ละรอบให้วิ่งจ๊อกกิ้งพัก 2 นาที
- วันพฤหัส : ฝึก Strength Training โปรแกรมที่ 1
- วันศุกร์ : วิ่งฟื้นตัว 35 นาที หรือฝึก Cross Training เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เล่นโยคะ
- วันเสาร์ : พัก
- วันอาทิตย์ : วิ่งระยะไกล 16-19.31 กิโลเมตร
สัปดาห์ที่ 6
- วันจันทร์ : วิ่ง Easy 45 นาที
- วันอังคาร : พัก
- วันพุธ : วิ่ง 400 เมตร 16 รอบ หลังการวิ่งแต่ละรอบให้วิ่งจ๊อกกิ้งพัก 2 นาที
- วันพฤหัส : ฝึก Strength Training โปรแกรมที่ 1
- วันศุกร์ : วิ่งฟื้นตัว 25 นาที หรือฝึก Cross Training เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เล่นโยคะ
- วันเสาร์ : พัก
- วันอาทิตย์ : วิ่ง 75 นาที
สัปดาห์ที่ 7
- วันจันทร์ : พัก
- วันอังคาร : วิ่ง Easy 50 นาที
- วันพุธ : ฝึก Strength Training โปรแกรมที่ 1
- วันพฤหัส : พัก
- วันศุกร์ : วิ่งฟื้นตัว 20 นาที หรือฝึก Cross Training เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เล่นโยคะ
- วันเสาร์ : พัก
- วันอาทิตย์ : ลงแข่งวิ่งฮาล์ฟมาราธอนขอให้ทุกคนโชคดี
สัปดาห์ที่ 8
- วันจันทร์ : พัก
- วันอังคาร : พัก
- วันพุธ : วิ่ง Easy 20 นาที
- วันพฤหัส : ฝึก Strength Training โปรแกรมที่ 1
- วันศุกร์ : วิ่งฟื้นตัว 15 นาที หรือฝึก Cross Training เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เล่นโยคะ
- วันเสาร์ : พัก
- วันอาทิตย์ : วิ่งระยะไกล 9.65-12.87 กิโลเมตร
สัปดาห์ที่ 9
- วันจันทร์ : วิ่ง Easy 60 นาที
- วันอังคาร : พัก
- วันพุธ : วิ่งจ๊อกกิ้งวอร์มอัพ 10 นาที ตามด้วยการวิ่งเทมโป 40 นาที ปิดท้ายด้วยการวิ่งจ๊อกกิ้งเพื่อคูลดาวน์ 10 นาที
- วันพฤหัส : ฝึก Strength Training (เปลี่ยนมาใช้โปรแกรม Muscular endurance)
- วันศุกร์ : วิ่งฟื้นตัว 20 นาที หรือฝึก Cross Training เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เล่นโยคะ
- วันเสาร์ : พัก
- วันอาทิตย์ : วิ่งระยะไกล 22.53-25.74 กิโลเมตร
สัปดาห์ที่ 10
- วันจันทร์ : วิ่ง Easy 65 นาที
- วันอังคาร : พัก
- วันพุธ : วิ่งขึ้นเนิน 20 วินาที 18 รอบ โดยหลังแต่ละรอบให้วิ่งจ๊อกกิ้งพัก 1 นาที
- วันพฤหัส : ฝึก Strength Training (เปลี่ยนมาใช้โปรแกรม Muscular endurance)
- วันศุกร์ : วิ่งฟื้นตัว 25 นาที หรือฝึก Cross Training เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เล่นโยคะ
- วันเสาร์ : พัก
- วันอาทิตย์ : วิ่ง 90 นาที
สัปดาห์ที่ 11
- วันจันทร์ : วิ่ง Easy 70 นาที
- วันอังคาร : พัก
- วันพุธ : วิ่ง 400 เมตร 20 รอบ หลังการวิ่งให้พักด้วยการจ๊อกกิ้ง 1 นาที
- วันพฤหัส : ฝึก Strength Training (เปลี่ยนมาใช้โปรแกรม Muscular endurance)
- วันศุกร์ : วิ่งฟื้นตัว 30 นาที หรือฝึก Cross Training เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เล่นโยคะ
- วันเสาร์ : พัก
- วันอาทิตย์ : วิ่งระยะไกล 25.74-28.96 กิโลเมตร
สัปดาห์ที่ 12
- วันจันทร์ : วิ่ง Easy 75 นาที
- วันอังคาร : พัก
- วันพุธ : วิ่งจ๊อกกิ้งวอร์มอัพ 5 นาที ตามด้วยการวิ่งเทมโป 50 นาที ปิดท้ายด้วยการวิ่งจ๊อกกิ้งเพื่อคูลดาวน์ 5 นาที
- วันพฤหัส : ฝึก Strength Training (เปลี่ยนมาใช้โปรแกรม Muscular endurance)
- วันศุกร์ : วิ่งฟื้นตัว 30 นาที หรือฝึก Cross Training เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เล่นโยคะ
- วันเสาร์ : พัก
- วันอาทิตย์ : วิ่ง 120 นาที
สัปดาห์ที่ 13
- วันจันทร์ : วิ่ง Easy 25 นาที
- วันอังคาร : พัก
- วันพุธ : ฝึก Strength Training โปรแกรมที่ 1
- วันพฤหัส : วิ่งฟื้นตัว 25 นาที หรือฝึก Cross Training เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เล่นโยคะ
- วันศุกร์ : พัก
- วันเสาร์ : พัก
- วันอาทิตย์ : วิ่งระยะไกล 32-35.40 กิโลเมตร
สัปดาห์ที่ 14
- วันจันทร์ : พัก
- วันอังคาร : วิ่ง Easy 60 นาที
- วันพุธ : พัก
- วันพฤหัส : ฝึก Strength Training (เปลี่ยนมาใช้โปรแกรม Muscular endurance)
- วันศุกร์ : วิ่งฟื้นตัว 25 นาที หรือฝึก Cross Training เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เล่นโยคะ
- วันเสาร์ : พัก
- วันอาทิตย์ : วิ่ง 22.53-25.74 กิโลเมตร
สัปดาห์ที่ 15
- วันจันทร์ : วิ่ง Easy 45 นาที
- วันอังคาร : พัก
- วันพุธ : วิ่ง 200 เมตร 16 รอบ หลังการวิ่งให้พักด้วยการจ๊อกกิ้ง 1 นาที
- วันพฤหัส : ฝึก Strength Training (เปลี่ยนมาใช้โปรแกรม Muscular endurance)
- วันศุกร์ : วิ่งฟื้นตัว 30 นาที หรือฝึก Cross Training เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เล่นโยคะ
- วันเสาร์ : พัก
- วันอาทิตย์ : วิ่งระยะไกล 12.87-16 กิโลเมตร
สัปดาห์ที่ 16
- วันจันทร์ : วิ่ง Easy 25 นาที
- วันอังคาร : พัก
- วันพุธ : พัก
- วันพฤหัส : วิ่ง 20 นาที
- วันศุกร์ : พัก
- วันเสาร์ : พัก
- วันอาทิตย์ : วันลงแข่งจริงขอให้ทุกคนโชคดี
ประเภทของการฝึกวิ่ง
การวิ่งฟื้นตัว : ให้ใช้ความเร็วเท่ากับการวิ่ง Easy ไปเลย เราจะวิ่งสบายๆ แบบที่สามารถวิ่งไปคุยไปได้โดยไม่มีอาการหอบ และจะมีการรักษาความเร็วคงที่
การวิ่งเทมโป : เป็นการวิ่งโดยใช้ความเข้มข้นปานกลาง-สูง ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยฝึกเพิ่มความเร็วให้กับนักวิ่ง และทำให้สามารถวิ่งได้ไกลมากขึ้น แต่ว่าการวิ่งนี้จะต่างกับการวิ่งระยะไกลโดยที่มีการแบ่งส่วนการฝึก เป็นการวอร์มอัพ , การฝึกวิ่ง , และการคูลดาวน์
การวิ่งขึ้นเนิน : สามารถฝึกได้ทั้งนอกบ้านหรือฝึกกับลู่วิ่งที่สามารถปรับความเอียงได้ เป็นการฝึกเพื่อเพิ่มระดับความทรหด เพิ่มความเร็วให้กับขาของเรา ในการฝึกนี้เราจะวิ่งโดยใช้ระดับความเข้มข้นปานกลาง จัดว่าเป็นรูปแบบการฝึกที่ดีเยี่ยมกับทุกโปรแกรมการฝึกเลย เพื่อที่จะช่วยให้ร่างกายสามารถปรับตัวให้เข้ากับการลงแข่งได้
การวิ่ง Interval : เป็นสิ่งสำคัญในการฝึกวิ่ง และเป็นการฝึกที่เยี่ยมยอดสำหรับนักวิ่งมือใหม่ด้วย เพราะจะมีช่วงที่ฝึกวิ่งสลับกับช่วงที่วิ่งเหยาะๆ เป็นการพักหรืออาจจะเป็นช่วงหยุดวิ่งก็ได้ การฝึกนี้จะช่วยฝึกพื้นฐานให้กับระบบหลอดเลือดและหัวใจ การฝึกนี้จะมีช่วงเวลาที่เราวิ่งในระดับความเข้มข้นสูง โดยจะมีการกำหนดระยะทางในการวิ่งแต่ละรอบมาให้แล้ว หลังการวิ่งแต่ละรอบให้หยุดพักหรือวิ่งจ็อกกิ้งเป็นการพักก็ได้
การวิ่งระยะไกล : การวิ่งมาราธอนจำเป็นต้องใช้ความทรหด เราจึงควรมีการฝึกวิ่งระยะไกลเพื่อเสริมสร้างความทรหดให้กับร่างกาย ซึ่งถ้าหากเพื่อนๆเคยวิ่ง 10k หรือฮาล์ฟมาราธอนมาก่อน ก็คงจะมีพื้นฐานกันมาเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ว่าเราจะต้องฝึกวิ่งไกลกว่าเดิมเท่านั้นเอง สำหรับการฝึกก็เหมือนเดิมคือให้วิ่งแบบ Easy ไปเรื่อยๆ จนครบระยะทาง และในช่วงที่ใกล้วันลงแข่งเราจะลดระยะทางในการฝึกลง เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้ทัน
โปรแกรมฝึก Strength Training โปรแกรมที่ 1
ท่าสำหรับวอร์มอัพ
- Jogging, Skipping or Rowing 2-10 นาที
- Bodyweight Squat 10-20 ครั้ง
- Forward Lunge ตามด้วยท่า Side Lunge ตามด้วยท่า Reverse Lunge อย่างละ 10-20 ครั้ง
- Glute Bridge ตามด้วย Single Leg bridge อย่างละ 10-20 ครั้ง
- Inchworm with press up 10-20 ครั้ง
- Standing Psoas March 10-20 ครั้ง ท่านี้ต้องใช้ Resistance band ด้วยนะ
- Box Jump หรือ Squat Jump ฝึกทั้งหมด 3 เซ็ต เซ็ตละ 5 ครั้ง หลังการฝึกแต่ละเซ็ตให้พัก 30 วินาที
- Medicine Ball Slam ฝึกทั้งหมด 3 เซ็ต เซ็ตละ 5 ครั้ง หลังการฝึกแต่ละเซ็ตให้พัก 30 วินาที และให้ใช้ลูกบอลหนัก 10-15 กิโลกรัมในการฝึก
ต่อไปจะเป็นท่าหลักที่เราต้องฝึก
- Back Squat หรือ Goblet Squat : ฝึกทั้งหมด 3-4 เซ็ต เซ็ตละ 5-8 ครั้ง หลังจบแต่ละเซ็ตให้พัก 60-120 วินาที ใช้น้ำหนัก 60-80% 1 RM
- Deadlift : ฝึกทั้งหมด 3-4 เซ็ต เซ็ตละ 5-8 ครั้ง หลังจบแต่ละเซ็ตให้พัก 60-120 วินาที ใช้น้ำหนัก 60-80% 1 RM
- Bulgarian Split Squat : ฝึกทั้งหมด 3-4 เซ็ต เซ็ตละ 5-8 ครั้ง หลังจบแต่ละเซ็ตให้พัก 60-120 วินาที ใช้น้ำหนัก 60-80% 1 RM
- Calf Raise : ฝึกทั้งหมด 3-4 เซ็ต เซ็ตละ 15-20 ครั้ง หลังจบแต่ละเซ็ตให้พัก 60-120 วินาที ใช้น้ำหนัก 60-80% 1 RM
- Assisted Pull Up : ฝึกทั้งหมด 3-4 เซ็ต เซ็ตละ 5-8 ครั้ง หลังจบแต่ละเซ็ตให้พัก 60-120 วินาที ใช้ Bodyweight ในการฝึก + อุปกรณ์เพิ่มน้ำหนัก
- Bench Press หรือ Press Up : ฝึกทั้งหมด 3-4 เซ็ต เซ็ตละ 5-8 ครั้ง หลังจบแต่ละเซ็ตให้พัก 60-120 วินาที ใช้น้ำหนัก 60-80% 1 RM
- Plank ตามด้วย side plank : ฝึก 3-4 เซ็ต เซ็ตละ 30 วินาที ใช้ Bodyweight ในการฝึก
** หมายเหตุ : 1 RM นี่ใช้วัดระดับความยากในการยกน้ำหนักแต่ละครั้ง
ต่อไปเป็นท่ายืดกล้ามเนื้อสำหรับคูลดาวน์ปิดท้ายการฝึก (ครั้งละ 30 วินาทีพอ)
- ท่า Hip Flexor Stretch 1 ครั้ง
- ตามด้วยท่าโยคะ ท่านกพิราบอีก 4 ครั้ง
- Supine Hamstring Stretch 1 ครั้ง
- Cobra Spinal flexion 1 ครั้ง
- Downward Dog ตามด้วย Foot Pedals อย่างละ 1 ครั้ง
โปรแกรมการฝึก Strength Training (Muscular Endurance เพิ่มความทรหดให้กล้ามเนื้อ)
ท่าสำหรับวอร์มอัพ
- Jogging, Skipping or Rowing 2-10 นาที
- Bodyweight Squat 10-20 ครั้ง
- Forward Lunge ตามด้วยท่า Side Lunge ตามด้วยท่า Reverse Lunge อย่างละ 10-20 ครั้ง
- Glute Bridge ตามด้วย Single Leg bridge อย่างละ 10-20 ครั้ง
- Inchworm with press up 10-20 ครั้ง
- Standing Psoas March 10-20 ครั้ง ท่านี้ต้องใช้ Resistance band ด้วยนะ
- Single leg deadlift 10-20 ครั้ง ท่านี้ฝึกโดยใช้ Bodyweight
- Sled Push ฝึกทั้งหมดสามเซ็ต เซ็ตละ 20 นาที หลังจบแต่ละเซ็ตให้พัก 30 วินาที ใช้น้ำหนัก 20-60 กิโลกรัมในการฝึก
ต่อไปจะเป็นท่าหลักในการฝึก
- Back Squat หรือ Goblet Squat : ฝึกทั้งหมด 3-4 เซ็ต เซ็ตละ 15-20 ครั้ง หลังจบแต่ละเซ็ตให้พัก 30-45 วินาที ใช้น้ำหนัก 60% 1 RM
- Box หรือ Squat Jump : ฝึกทั้งหมด 3-4 เซ็ต เซ็ตละ 5-8 ครั้ง หลังจบแต่ละเซ็ตให้พัก 60-120 วินาที ใช้น้ำหนักตัว (Bodyweight)ในการฝึก
- Box Step Up with Knee Drive : ฝึกทั้งหมด 3-4 เซ็ต เซ็ตละ 5-8 ครั้ง หลังจบแต่ละเซ็ตให้พัก 60-120 วินาที ใช้น้ำหนักตัวในการฝึก
- Hurdle Hops : ฝึกทั้งหมด 3-4 เซ็ต เซ็ตละ 5-8 ครั้ง หลังจบแต่ละเซ็ตให้พัก 60-120 วินาที ใช้น้ำหนักตัวในการฝึก
- Assisted Pull Up : ฝึกทั้งหมด 3-4 เซ็ต เซ็ตละ 15-20 ครั้ง หลังจบแต่ละเซ็ตให้พัก 30-45 วินาที ใช้น้ำหนักตัวในการฝึกแต่หากต้องการใช้อุปกรณ์เพิ่มน้ำหนักก็จัดไปเลย สำหรับท่านี้เท่านั้น
- Push Press : ฝึกทั้งหมด 3-4 เซ็ต เซ็ตละ 15-20 ครั้ง หลังจบแต่ละเซ็ตให้พัก 30-45 วินาที ใช้น้ำหนัก 60% 1 RM
- DeadBug ตามด้วย Copenhagen plank : ฝึกทั้งหมด 3-4 เซ็ต เซ็ตละ 30-60 วินาที หลังจบแต่ละเซ็ตให้พัก 30-45 วินาที ใช้น้ำหนักตัวในการฝึก
ต่อไปเป็นท่ายืดกล้ามเนื้อสำหรับคูลดาวน์ปิดท้ายการฝึก (ครั้งละ 30 วินาทีพอ)
- ท่า Hip Flexor Stretch 1 ครั้ง
- ตามด้วยท่าโยคะ ท่านกพิราบอีก 4 ครั้ง
- Supine Hamstring Stretch 1 ครั้ง
- Cobra Spinal flexion 1 ครั้ง
- Downward Dog ตามด้วย Foot Pedals อย่างละ 1 ครั้ง
ทำไมการควบคุมเพซถึงมีความสำคัญ
หากเราวิ่งเร็วเกินไปจะทำให้หมดแรงอย่างแน่นอน จึงควรโฟกัสไปที่การใช้สบายๆ เพราะเป้าหมายของเราคือการไปให้ถึงเส้นชัย พวกนักวิ่งมืออาชีพจะมองหาเพซที่ใช้ได้ผลกับตัวเองและใช้เพซนั้นไปตลอด และถ้าหากเพื่อนๆ ฝึกตามโปรแกรมนี้ได้สำเร็จ ก็จะสามารถค้นพบเพซที่เหมาะสมกับตัวเองได้แน่นอน
ความสำคัญของการพักผ่อนและการฟื้นร่างกาย
การพักผ่อนให้เพียงพอมีความสำคัญพอๆ กับการฝึก เพราะมันช่วยให้ร่างกายมีเวลาในการซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่ได้รับความเสียหายตอนออกกำลังกาย หากว่าเราใช้งานร่างกายหนักเกินไป ก็อาจจะทำให้เหนื่อยล้าทั้งกายและใจเกินกว่าที่จะฝึกต่อไปได้
เพื่อนๆ ควรที่จะมีการใช้โฟมโรลเลอร์ในการช่วยคลายกล้ามเนื้อควอท , กล้ามเนื้อสะโพกและน่อง นอกจากนี้ยังควรฝึกยืดกล้ามเนื้อหลังการวิ่งด้วย
เคล็ดลับสำหรับใช้ในวันลงแข่ง
- ควรมีการยืดกล้ามเนื้อทั้งก่อนและหลังการลงแข่ง
- เวลาวิ่งระยะไกลควรวิ่งให้ช้าลงและรักษาความเร็วให้คงที่ สงวนพลังงานไว้เพื่อไปให้ถึงเส้นชัย
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- ถึงแม้ว่าจะรู้สึกลังเลหรือท้อใจ ก็ให้ทำตามโปรแกรมต่อไป เพราะมันถูกออกแบบมาเพื่อทำให้ทุกคนสามารถไปถึงเส้นชัยได้อยู่แล้ว
แหล่งที่มา : https://bit.ly/3VCdsgT
เปิดกรุ๊ปให้เพื่อนๆ ที่รักการวิ่ง ไปคุยกัน
🏃 ♂ bit.ly/VRUNGROUP
.
#วิ่งไหนกันปั่นไหนดี #Sports #Running
#Cycling #Triathlon #Swimming