8 ปัญหาสุขภาพที่สามารถดีขึ้นได้ด้วยการฝึก Strength Training
เพื่อนๆ ทราบหรือไม่ว่า การฝึก Strength Training ไม่เพียงแค่มีประโยชน์กับกล้ามเนื้อและส่งผลดีต่อประสิทธิภาพในการออกกำลังกายเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปัญหาสุขภาพอีกหลายอย่างดีขึ้นได้ด้วย โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการปวดหลังส่วนล่าง เป็นโรคพาร์กินสัน หรือเป็นโรคหัวใจ เป็นต้น
จากนี้ไปคือ 8 ปัญหาสุขภาพที่สามารถดีขึ้นได้ด้วยการฝึก Strength Training
1. ช่วยลดอาการเมื่อยล้าที่เกิดจากโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis)
80% ของคนที่เป็นโรคนี้จะมีอาการเมื่อยล้า มีปัญหาการควบคุมกระเพาะปัสสาวะ ควบคุมการทรงตัว แขนขารู้สึกเสียวแปล็บ อาการเหล่านี้สามารถควบคุมได้ด้วยการหันมาออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนัก มีการวิจัยที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร Multiple Sclerosis Journal พบว่าพวกอาสาสมัครที่ฝึก Resistance training นาน 6 เดือน จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของสมอง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยยับยั้งไม่ให้โรคมีอาการหนักขึ้น
คนที่ป่วยเป็นโรคนี้สมองจะหดตัวเร็วกว่าปกติ การรักษาด้วยการทานยานั้นช่วยได้แน่นอน แต่เราก็พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับยาควบคู่ไปกับการฝึก Resistance training จะช่วยลดการหดตัวของสมองได้ด้วย แถมนักวิจัยยังพบว่า บางบริเวณเล็กๆ ในสมองนั้นก็เริ่มมีการเติบโตขึ้นด้วยซึ่งเป็นผลจากการฝึกนั่นเอง
2. ช่วยบรรเทาอาการปวดหลังล่าง
อาการปวดหลังเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ คนจำนวน 80% ในโลกต้องเคยมีอาการนี้มาก่อน แต่แทนที่เราจะเอาแต่พักผ่อนเพื่อให้อาการดีขึ้น เราควรที่จะออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย มีผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร BMJ Open Sport & Exercise Medicine พบว่าผู้ป่วยที่มีการฝึก Weight training 3 วันต่อสัปดาห์ต่อเนื่องกันนาน 16 สัปดาห์ จะมีอาการปวดน้อยลง 72-76% (รวมไปถึงอาการเคลื่อนไหวไม่ได้) นอกจากนี้พวกเขายังมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีกด้วย นักวิจัยยังบอกด้วยว่าหากเป็นโรคปวดหลังแล้วไม่ยอมขยับตัวเลย จะยิ่งทำให้เรากลัวการเคลื่อนไหวร่างกายมากขึ้นจนกระทั่งกลายเป็นพฤติกรรมได้ เราจึงควรเคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้นและหันมายกน้ำหนัก ซึ่งวิธีนี้จะช่วยซ่อมแซมทั้งร่างกายและจิตใจได้

3. เพิ่มความคล่องตัวให้ผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน
ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของการเคลื่อนไหวของระบบประสาท จะทำให้เกิดความสั่นสะเทือนและมีความบกพร่องในการเคลื่อนไหว ซึ่งผู้ป่วยก็อาจมีความสามารถในการรับกลิ่นลดลงและอาจมีอาการซึมเศร้าได้
ในปี 2017 นักวิจัยในประเทศอิตาลีได้ทำการทดลองว่าการฝึก Strength training มันจะช่วยได้หรือไม่ ก็พบว่าสามารถช่วยให้อาการทางกายดีขึ้นได้ แถมยังทำให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นด้วย ถึงแม้ว่าจะยังควรมีการวิจัยในเรื่องนี้อีกมาก แต่อย่างน้อยก็รู้กันแล้วว่า Strength training มันจะช่วยได้แน่นอน
4. ช่วยลดการสูญเสียมวลกระดูกของผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน
สำหรับผู้ที่ต้องการมีกระดูกแข็งแรงไปตลอดชีวิต ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าให้ออกกำลังกายที่มีการแบกรับน้ำหนัก เช่น การวิ่งจ๊อกกิ้ง การกระโดด และควรมีการฝึก Strength training ด้วย
มีการวิจัยให้ผู้หญิงที่เป็นโรคกระดูกพรุนมาทดลองฝึกออกกำลังกาย โดยจะเป็นการฝึก Weight training และการใช้สายแถบยางยึดที่มีแรงต้านสำหรับการออกกำลังกาย พอผ่านไป 16 ปีก็พบว่ามีความหนาแน่นของแร่ธาตุในกระดูกมากขึ้น โดยผู้หญิงกลุ่มนี้เค้าต้องฝึกร่างกาย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ (นานครั้งละ 2 ชั่วโมง) นักวิจัยยังแนะนำว่าความต่อเนื่องในการฝึกนั้นเป็นสิ่งสำคัญอีกด้วย

5. ช่วยเพิ่มความฟิตให้คนที่เป็นโรคหัวใจ
เพื่อป้องกันโรคหัวใจ สมาคมโรคหัวใจของอเมริกาแนะนำว่าควรออกกำลังกายที่มีระดับความเข้มข้นปานกลางอย่างน้อย 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ และถ้าเราได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคหัวใจก็ยังควรออกกำลังกายอยู่
เคยมีการรีวิวผลการวิจัยในปี 2017 ซึ่งตีพิมพ์ลงในวารสาร European Journal of Preventive Cardiology ได้มีการตรวจผลงานวิจัยถึง 34 งาน พบว่า การฝึก Resistance training สามารถเพิ่มความฟิตได้มากพอกันกับการออกกำลังกายแอโรบิค ทั้งยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ร่างกายส่วนล่างและส่วนบนไปด้วย นิสัยอื่นๆ ที่ส่งผลดีกับหัวใจ ได้แก่ การมีความรู้สึกขอบคุณ การนอนหลับอย่างเพียงพอเป็นประจำ
6. ช่วยให้ผู้ป่วยโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) สามารถหายใจได้ดีขึ้น
คนที่ป่วยโรคนี้จะมีอาการหายใจลำบาก และอาจคิดว่าตัวเองควรอยู่ห่างจากโรงยิมเข้าไว้ แต่ตามข้อเท็จจริงแล้วผู้ป่วยมักมีการสูญเสียความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และมีอาการอ่อนแอ ซึ่งนักวิจัยบอกว่ามันจะทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลงกว่าเดิม
มีการวิจัยพบว่าผู้ป่วยที่ฝึก Endurance และ Strength training (ครั้งละ 30 นาที ทั้งหมดสามครั้งต่อสัปดาห์) จะช่วยส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เมื่อเทียบกับคนที่ฝึก Endurance training ควบคู่กับการรักษาทางการแพทย์ (ไม่ได้ฝึก Strength training) นอกจากนี้ยังพบว่าการออกกำลังกายรูปแบบนี้มีความปลอดภัยต่อผู้ป่วยอีกด้วย

7. ช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่สอง
การออกกำลังกายถือเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันและควบคุมเบาหวานประเภทที่สอง หลังออกกำลังกายมันจะช่วยให้กล้ามเนื้อเต็มไปด้วยกลูโคส ซึ่งมาจากเลือดแล้วก็จะเอากลูโคสไปใช้เป็นพลังงาน
ในขณะที่คาร์ดิโอจะช่วยร่างกายในการควบคุมระดับอินซูลิน การฝึก Strength training จะช่วยให้ร่างกายมีการตอบสนองต่ออินซูลินดีขึ้น ซึ่งนี่คือข้อมูลจากสมาคมโรคเบาหวานของอเมริกา
นอกจากนี้ยังช่วยในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อและการมีมวลกล้ามเนื้อมากขึ้น ไม่เพียงแต่จะเพิ่มการเผาผลาญแคลอรี่ แต่ยังช่วยควบคุมระดับกลูโคสอีกด้วย ในวารสาร Nutrition & Metabolism บอกไว้ว่าการออกกำลังกายแบบ Resistance training และคาร์ดิโอจะช่วยให้เราได้รับทุกอย่างที่ร่างกายต้องการ
8. ลดระดับความวิตกกังวล
เป็นที่รู้กันดีว่าการออกกำลังกายสามารถพิชิตความเครียดได้ ทั้งยังส่งผลต่อระดับความวิตกกังวลด้วย การวิจัยในวารสาร Frontiers in Psychology พบว่าการฝึก Resistance exercise 1 รอบ (โดยให้ยกน้ำหนักมากที่สุดเท่าที่จะยกไหว) จะมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับการลดระดับความวิตกกังวล ทั้งในช่วงหลังการฝึกและในระยะยาว (หมายถึงถ้ายังฝึกต่อไปในระยะยาว) แต่ในตอนนี้พวกเขายังหาคำตอบไม่ได้ว่า การฝึก Strength training ช่วยลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลหรือฮอร์โมนแห่งความเครียด และลดการทำงานที่เกี่ยวกับการสร้างความเครียดได้อย่างไร
ที่มา : https://bit.ly/3vzYkQQ
เปิดกรุ๊ปให้เพื่อนๆ ที่รักการวิ่ง ไปคุยกัน
🏃 ♂ bit.ly/VRUNGROUP
.
#วิ่งไหนกันปั่นไหนดี #Sports #Running
#Cycling #Triathlon #Swimming