5 รูปแบบการฝึกวิ่งเร็ว ที่จะช่วยเผาผลาญไขมันและทำให้วิ่งได้เร็วขึ้น
นักวิ่งเร็วคือหนึ่งในบรรดานักกีฬาที่ทรงพลังที่สุดในโลก พวกเขาต้องฝึกกล้ามเนื้อให้ทนต่อความตึงเครียด การฝึกออกกำลังกายแบบเดียวกับนักวิ่งเร็วจะดีต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด และเป็นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อกระตุกเร็ว และถ้าเราเป็นคนที่มีเวลาน้อยการฝึกวิ่งเร็วก็เป็นทางเลือกที่ดีมาก นอกจากจะได้มีสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดที่ดีขึ้นแล้ว ยังช่วยเพิ่มพละกำลัง และเผาผลาญแคลอรี่แบบสุดๆไปเลย
การวอร์มอัพเพื่อเพิ่มความเร็ว
เพื่อที่จะเพิ่มความเร็ว เราต้องวอร์มอัพเสียก่อน การใช้ท่าดริลพวกนี้จะช่วยเตรียมร่างกายสำหรับการวิ่งเร็ว
- ให้เราเลือกท่า Dynamic Drills มา 4 ท่า
- และเลือกท่า Start มาอีก 2 ท่า
ให้ทำท่าดริลทุกท่าเป็นระยะทาง 10-15 เมตร หลังจากนั้นให้หันหลังกลับและทำอีกรอบ
สำหรับความเร็วในการฝึกท่า Start ให้เราเริ่มต้นด้วยความเร็ว 60% ตลอดช่วงระยะทาง 20 เมตร
รายชื่อ Dynamic Drills (ตามคลิป)
- A-Skip
- B-Skip
- Straight Legs
- Fast Legs
- Power Skip
- Bounding
- High Knees
- Backward Running
ท่า Start (ใช้ความเร็ว60%)
- Pushup start
- Mountain climber start
- Rolling Start
รูปแบบที่ 1 : 10 Gassers Challenge
ถึงแม้ว่าจะเป็นการซ้อมวิ่งเร็ว แต่ไม่ได้หมายความว่าเราควรใช้ความเร็วสูงสุดในทันที เราควรค่อยๆเพิ่มความเร็วไปเรื่อยๆ เพื่อปกป้องกล้ามเนื้อขาหลังไม่ให้ได้รับบาดเจ็บ หลีกเลี่ยงการเหนื่อยเร็วเกินไป และพัฒนาความเร็วให้มากขึ้นอีก
ในการฝึกนี้ให้เราวิ่ง 50 หลา (45.7 เมตร) และ 100 หลา (91.4 เมตร) และใช้ความเร็วดังที่กำหนดไว้ตามด้านล่างนี้
- ยกที่ 1-5 ให้พักหลังจบยก 30 วินาที
- ยกที่ 6-10 ให้พัก 1 นาที
รูปแบบที่ 2 : Super-Quick Repeats
การฝึก Interval คือการรักษาสมดุลระหว่างการวิ่งเร็วและมีความเข้มข้นสูงกับช่วงเวลาฟื้นตัว ไม่ใช่แค่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านแอโรบิกและความเร็วเท่านั้น ยังช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้ดีอีกด้วย
RJ McGinnis โค้ชจากมหาวิทยาลัยแอริโซน่า กล่าว่าเป้าหมายของการวิ่งแบบ interval คือการผลักดันขีดจำกัดของเราในช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นก็ฟื้นตัวร่างกาย และทำซ้ำอีกเรื่อยๆ และถ้าหากไม่เคยวิ่งมาก่อนก็อย่าพึ่งไปโฟกัสเรื่องระยะเวลา
- ให้เราวิ่งแบบ Easy 1-2 ไมล์ (1.6-3.2 กิโลเมตร) เพื่อวอร์มอัพ
- จากนั้นวิ่ง Interval 200 เมตร 10 รอบ แต่ละรอบควรทำเวลาได้ในระหว่าง 30-36 วินาที ขึ้นอยู่กับระดับความฟิตของเราเอง
- ในการวิ่งแต่ละรอบให้พัก 2 นาที
ตัวอย่างแผนการวิ่ง Interval
รูปแบบที่ 3 : ฝึกวิ่งลงเนินด้วยความเร็ว
ดูเผินๆการวิ่งลงเนินมันเหมือนจะง่าย แต่ที่จริงแล้วการวิ่งลงเนินเป็นวิธีฝึกกล้ามเนื้อที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งเลยทีเดียว การวิ่งลงเนินจะทำให้เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อในช่วงที่กล้ามเนื้อกำลังยืดตัวและต้องเจอกับความตึงเครียด ซึ่งจะช่วยเพิ่มพลังให้กล้ามเนื้อและทำให้เราวิ่งเร็วขึ้น
- ในการวิ่งลงเนินเราต้องรักษาฟอร์มการวิ่งให้ดี อย่าสับขาเร็วมากเกินไป และอย่าใช้ส้นเท้าในการเบรกเด็ดขาด
- ให้เราเริ่มต้นด้วยการวิ่งแบบ Easy 15-20 นาทีเป็นการวอร์มอัพ
- มองหาเนินเหมาะๆที่มีระยะทางถึง 100 เมตร โดยมีระดับความชัน 2-3% เริ่มวิ่งโดยใช้ความเร็ว 70% และปล่อยให้แรงโน้มถ่วงเพิ่มความเร็วในการสับขาและความเร็วในการวิ่งของเรา เอนตัวมาด้านหน้าหน่อยนึง และเวลาวิ่งให้เอาตรงกลางฝ่าเท้าลงพื้น ควบคุมการทรงตัวและควบคุมร่างกายให้ดีๆ
- สำหรับการฟื้นตัว ให้เราวิ่งจ๊อกกิ้งขึ้นเนินอย่างช้าๆ เมื่อเรามีความเร็วและความฟิตเพิ่มขึ้นแล้ว ก็ให้เพิ่มจำนวนการวิ่งขึ้นทุกสัปดาห์ ดังตัวอย่าง
รูปแบบที่ 4 : ฝึกแบบ Ladder workouts
การฝึกแบบ Ladder workouts จะมีการวิ่งแบบ Interval ซึ่งจะมีการเพิ่มระยะทางและมีการวิ่งกลับมาตามเส้นทางเดิม จะเป็นการเพิ่มความเร็วในช่วงเวลาสั้นๆ โดยมีระยะทางระหว่าง 30-90 เมตร
โค้ช Ryan Warrenburg กล่าวว่า กุญแจหลักคือการลดระยะเวลาในการฟื้นตัว ซึ่งจะทำให้ระบบแอนแอโรบิคของเราทำงานมากขึ้น
- ระยะทางในการวิ่งและการฟื้นตัวจะถึง 100 เมตรเสมอ เมื่อเรามีความฟิตที่มากขึ้น เราจะวิ่ง interval ได้เร็วกว่าเดิม และจะมีระดับความฟิตเพิ่มขึ้นไปอีกเมื่อเวลาผ่านไป
- ให้เริ่มวอร์มอัพด้วยการวิ่ง Easy 20 นาที จากนั้นให้วิ่งโดยใช้ความเร็วเต็มที่ 30 เมตร จากนั้นให้เดินหรือจ๊อกกิ้ง 70 เมตร
- สำหรับใน 100 เมตรถัดไป ให้วิ่งโดยใช้ความเร็วเต็มที่ 40 เมตร จากนั้นให้เดินหรือจ๊อกกิ้ง 60 เมตร ให้ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนเราสามารถวิ่งเร็วได้ 90 เมตร และเหลือระยะทางในการ เดิน/จ๊อกกิ้ง 10 เมตร จากนั้นก็ค่อยๆลดระยะทางในการวิ่งลงไปเรื่อยๆ เหมือนรูปปิรามิด
ดูตามตัวอย่างได้เลย
รูปแบบที่ 5 : การฝึกวิ่งขึ้นเนิน
การวิ่งขึ้นเนินคือหนึ่งในวิธีดั้งเดิมที่ใช้ในการรักษารูปร่าง โค้ช Andrew Zomberg กล่าวว่า การฝึกวิ่งขึ้นเนินสามารถช่วยลดไขมันและเพิ่มประสิทธิภาพในการวิ่ง และยังทำให้เราสามารถฝึกซ้อมหนักได้มากกว่าเดิม เมื่อเวลาผ่านไปเราจะสามารถยกระดับการฝึกวิ่งขึ้นไปอีก สามารถเพิ่มรอบ ระยะทาง และความเข้มข้นให้มากขึ้นได้
เมื่อเราสามารถฝึกวิ่งเร็วได้ 2 ครั้งต่อสัปดาห์จนชำนาญแล้ว ก็ได้เวลาแล้วที่จะเพิ่มระดับความยาก เพื่อที่จะเผาผลาญไขมันจำนวนมากควรจะมีการฝึกอย่างต่อเนื่อง เราจะต้องเดินลงเนินกลับมาหลังจากที่วิ่งขึ้นไป และเมื่อกลับมาถึงจุดเริ่มต้นแล้วก็ให้วิ่งกลับขึ้นไปทันที
- ให้เราเริ่มจากการวิ่งจ๊อกกิ้ง 15 นาที และฝึกท่า Drill อะไรก็ได้เป็นการวอร์มอัพและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
- จากนั้นให้หาเนินที่มีความชัน 8-12% วิ่งขึ้นไปเป็นระยะทาง 20 หลา (18.2 เมตร) โดยใช้เรี่ยวแรงและความเร็ว 70%
- จากนั้นให้เดินกลับลงมาเพื่อฟื้นตัว ถือเป็น 1 รอบ ให้เราซ้อม 6-8 รอบ
ที่มา :
ไม่พลาดทุกกิจกรรม วิ่ง ปั่นจักรยาน ไตรกีฬา
กด #Seefirst และ #Following กันไว้ ที่
?facebook.com/wheretorunwhentoride
ค้นหางานแข่งวิ่ง ปั่นจักรยาน ไตรกีฬา ทั่วไทย
ง่าย สะดวก พร้อมบทความสาระดีๆ ที่
?www.vrunvride.com
อัพเดท Running, Cycling,
Triathlon, Gadget, Food ได้ที่
?instragram.com/vrunvride
มาซ้อม วิ่ง ?♂ปั่น ?♂ว่าย ?♂ให้สนุกกันที่
?strava.com/clubs/vrunvride
[AD]
?บัตรเครดิต KTC ตัวจริงเรื่องกีฬา
แลกรับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 15% พร้อมแบ่งชำระ 0%
นานสูงสุด 10 เดือน ที่ Supersports ทุกสาขา
?
#วิ่งไหนกันปั่นไหนดี #Sports #Running
#Cycling #Triathlon #Swimming