จะเป็นอย่างไรถ้านักวิ่งทุกคนต่างวิ่งได้เร็วขึ้น คงน่าตื่นเต้นมากทีเดียว แต่น่าจะมีความท้าทายสำคัญตามมาด้วย เพราะเชื่อได้ว่าจะเกิดอุปสรรคจากอาการบาดเจ็บ แต่การบาดเจ็บต่างๆ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ หรือ? คำถามนี้ได้กระตุ้นให้ไนกี้มุ่งเน้นการพัฒนาไปที่โอกาสในการลดการบาดเจ็บของนักวิ่ง และรองเท้าวิ่งรุ่นล่าสุดของไนกี้ คือ ไนกี้ รีแอค อินฟินิตี้ รัน (Nike React Infinity Run) นับเป็นพัฒนาการก้าวใหม่ตามวัตถุประสงค์นี้
เมื่อครั้งที่ไนกี้เปิดตัว ไนกี้ ซูม เวเปอร์ฟลาย 4% (Nike Zoom Vaporfly 4%) ในปี ค.ศ. 2017 นักวิ่งต่างชื่นชมยินดีเพราะรองเท้ารุ่นนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้นักวิ่งทำสถิติส่วนตัวและทะลายข้อจำกัดของตนเองด้วยข้อได้เปรียบจากการใช้พลังงานในการวิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Running Economy) ในปีเดียวกันไนกี้ได้เปิดตัว ไนกี้ รีแอค (Nike React) ซึ่งเป็นโฟมจากเทคโนโลยีกรรมสิทธิ์ที่ให้การรองรับแรงกระแทกและการส่งคืนพลังงานในแบบที่เปลี่ยนเกมได้ ในโลกของการวิ่งเทคโนโลยีนี้สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ คือความรู้สึกที่ทั้งนุ่ม ยืดหยุ่น น้ำหนักเบา และทนทาน
ไนกี้ รีแอค อินฟินิตี้ รัน ผสานคุณสมบัติที่ดีที่สุดของเทคโนโลยีทั้งสองนี้ไว้ด้วยกัน เป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างประสิทธิภาพทางชีวกลศาสตร์และการรองรับแรงกระแทก เพื่อรองเท้าที่เป็นพัฒนาการครั้งสำคัญซึ่งจะให้เสถียรภาพเท้าอย่างเสมอภาคสำหรับทุกคนได้มากยิ่งขึ้น และเป็นความก้าวหน้าขึ้นอีกขั้นจากดีไซน์เดิมๆ ของรองเท้าแบบ Motion-control
ไนกี้ รีแอค อินฟินิตี้ รัน ให้พื้นโดยรวมที่นุ่ม ตอบสนองดีและมอบความรู้สึกนี้ด้วยพื้นรองเท้าชั้นกลางที่กว้างยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ไนกี้ รีแอค อินฟินิตี้ รัน ยังมีมิติส่วนล่างที่เหมือนคานโยกคล้ายกับรูปทรงของ ไนกี้ ซูม เวเปอร์ฟลาย 4% ซึ่งช่วยให้การถ่ายแรงเป็นไปอย่างต่อเนื่องยิ่งขึ้นตั้งแต่จังหวะลงเท้าไปจนถึงการส่งตัวด้วยปลายเท้า
การผสมผสานอย่างยอดเยี่ยมเช่นนี้จะมีผลต่อนักวิ่งในฉับพลัน เมื่อสวมรองเท้าจะรู้สึกได้ทันทีถึงความเสถียรและความกระฉับกระเฉง ซึ่งแรงส่งจากโฟม React พร้อมแล้วที่จะส่งพลังตลอดระยะทางที่จะวิ่ง มิติที่เหมือนคานโยกของ ไนกี้ รีแอค อินฟินิตี้ รัน ทำให้เกิดการโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย จึงขยับตำแหน่งการลงเท้าของนักวิ่งให้เปลี่ยนจากส้นเท้าไปสู่กลางเท้าหรือแม้กระทั่งปลายเท้า ซึ่งจะช่วยสร้างความรู้สึกถึงการเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ พื้นโดยรวมที่กว้างขึ้นรวมถึงส่วนประกอบของมันซึ่งเป็นโฟมที่ให้การรองรับเท้าที่ดีช่วยให้ความรู้สึกที่มั่นใจ โดยรองเท้าจะช่วยคุมเท้าให้อยู่ในแนวที่นุ่มนวลเป็นเส้นตรง จึงช่วยลดการซวนเซและส่ายไปส่ายมา
ด้วยคุณลักษณะเหล่านี้ ไนกี้ รีแอค อินฟินิตี้ รัน จึงเหมาะสำหรับการวิ่งที่ไม่ใช่การฝึกแบบอินเทอร์วัล เทมโป การวิ่งระยะไกล
หรือการแข่งขัน รองเท้ารุ่นนี้จะเหมาะที่สุดกับวันที่วิ่งเพื่อสร้างฐาน (Base Run) ซึ่งเป็นการวิ่งในระยะทางปานกลางด้วยระดับความเข้มข้นปานกลาง
ที่จริงแล้วผลการศึกษาภายนอกโดยมูลนิธิวิจัยเวชศาสตร์การกีฬาบริติชโคลัมเบีย (British Columbia Sports
Medicine Research Foundation – BCSMRF) ซึ่งทำการศึกษานักวิ่ง 226 คนโดยใช้รองเท้าวิ่งไนกี้ รีแอค
อินฟินิตี้ รัน เปรียบเทียบกับ Nike Structure 22 ที่เป็นรองเท้าแบบ Motion Control แบบเดิม พบว่านักวิ่งที่สวมไนกี้ รีแอค อินฟินิตี้ รัน
มีอัตราการบาดเจ็บน้อยกว่าที่พบในรองเท้าแบบ
Motion Control รุ่นนี้ถึง 52% โดยที่ผู้สวมต่างยืนยันว่าความรู้สึกเจ็บเข่าและเท้าเกิดขึ้นน้อยกว่า
นักวิ่งประสบการณ์สูงต่างตระหนักดีว่าการจะสร้างสมรรถภาพให้อยู่ในภาวะที่ดีที่สุดและป้องกันการบาดเจ็บได้นั้น พวกเขาจะต้องฝึกวิ่งในรูปแบบที่หลากหลาย (อ่านเรื่องประกอบ “ทำไมจึงต้องฝึกหลากหลายรูปแบบ”) รองเท้าที่คุณสวมก็เช่นกัน กลุ่มรองเท้าวิ่งของไนกี้ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อรูปแบบการฝึกฝนที่หลากหลาย ซึ่งจะช่วยให้ผลลัพธ์สูงสุด และด้วย ไนกี้ รีแอค อินฟินิตี้ รัน (Nike React Infinity Run) วันนี้กลุ่มรองเท้าวิ่งของไนกี้จึงมีรองเท้าวิ่งรูปแบบใหม่เพิ่มขึ้นเป็นประเภทหลักอีกหนึ่งรูปแบบ
รองเท้าวิ่งไนกี้ รีแอค อินฟินิตี้ รัน (Nike React Infinity Run) พิเศษ! สำหรับ Nike Members สามารถเป็นเจ้าของได้ก่อนใครตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม 2563 นี้ และจะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 มกราคม เป็นต้นไป ในราคา 5,800 บาท ทั้งบนเว็บไซต์ nike.com และร้านไนกี้บางสาขา
ทำไมจึงต้องฝึกหลากหลายรูปแบบ
การฝึกซ้อมด้วยรูปแบบการเคลื่อนไหวและระดับความเข้มข้นที่หลากหลายช่วยสร้างนักกีฬาที่สมบูรณ์แข็งแรงและครบเครื่องกว่าได้ฉันใด การออกกำลังกายด้วยการวิ่งหลากหลายรูปแบบก็จะช่วยเพิ่มความเร็ว ความแข็งแรง และความทนทานได้ฉันนั้น และในขณะเดียวกันยังช่วยป้องกันการบาดเจ็บจากการใช้งานส่วนเดิมๆ ซ้ำๆ มากจนเกินไป ซึ่งเป็นปัญหาโดยทั่วไปของนักวิ่ง เป็นที่ทราบกันดีว่าบรรดาแชมเปี้ยนที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในกีฬาประเภทนี้ รวมถึงผู้ที่พวกเราจับตากันอยู่อย่าง เอเลียด ล้วนมีรูปแบบการฝึกวิ่งที่หลากหลาย (พร้อมด้วยรองเท้าที่เหมาะสมกับแต่ละรูปแบบ) เพื่อรักษาร่างกายของพวกเขาให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมและแข็งแรงที่สุด ต่อไปนี้คือคำอธิบายรูปแบบที่นิยมใช้กันโดยทั่วไปและวิธีนำมาใช้ในการฝึกของคุณเอง
การวิ่งระยะไกล (Long Run)
การออกกำลังกายรูปแบบนี้มีลักษณะเช่นเดียวกับที่ชื่อบ่งบอก คือเป็นการวิ่งในระยะทางที่ไกลที่สุดของนักวิ่งคนนั้นๆ และโดยทั่วไปจะวิ่งด้วยความเร็วต่ำสุด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเสริมความทนทานของกล้ามเนื้อ (ควบคู่ไปกับความทรหดของจิตใจ)
ความถี่: โดยทั่วไปสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
การวิ่งเพื่อสร้างฐาน (Base Run)
เป็นการวิ่งในระยะทางปานกลางด้วยเพซที่วิ่งได้สบาย ซึ่งการวิ่งรูปแบบนี้สำคัญที่เป็นการวิ่งที่ครองสัดส่วนสูงในระยะทางสะสมของนักวิ่งแต่ละคน
ความถี่: 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์
การวิ่งอินเทอร์วัล (Interval) และฟาร์ทเลค (Fartlek)
รูปแบบเหล่านี้คือการวิ่งเร็วในระดับความเข้มข้นสูงสลับกับการผ่อนเพื่อฟื้นสภาพ ซึ่งการระเบิดความเร็วเป็นช่วงสั้นๆ จะช่วยเสริมสร้างความเร็วและความแข็งแกร่ง การวิ่งอินเทอร์วัลนิยมทำกันในลู่วิ่งเพื่อให้จับระยะทางได้อย่างแม่นยำ ในขณะที่ฟาร์ทเลคเป็นวิธีที่นิยมแทรกไว้ในการวิ่งเพื่อสร้างฐาน
ความถี่: 1 – 2 ครั้งต่อสัปดาห์
การวิ่งเทมโป (Tempo Run)
การวิ่งในระยะทางปานกลางด้วยความเร็วที่สูงขึ้นเช่นนี้จะช่วยผลักดันให้นักวิ่งขยับสู่ระดับความเร็วที่ท้าท้าย โดยใช้ระดับความเข้มข้นประมาณ 85% ของขีดสุด เพื่อช่วยสร้างความแข็งแรงและฝึกความอดทนให้วิ่งเร็วได้ยาวนานยิ่งขึ้น
ความถี่: 1 – 2 ครั้งต่อสัปดาห์
การวิ่งฟื้นฟูร่างกาย (Recovery Run)
โดยทั่วไปเป็นการวิ่งภายหลังการแข่งขันที่ใช้พลังกล้ามเนื้อจนอ่อนล้า การแข่งไทม์ไทรอัล หรือการออกกำลังกายอย่างหนัก ซึ่งการวิ่งแบบนี้จะมีระยะทางสั้นและระดับความเข้มข้นน้อย เพื่อให้ร่างกายมีโอกาสได้ฟื้นคืนสภาพโดยที่ยังคงสะสมระยะทางอย่างต่อเนื่อง ความถี่: ตามความต้องการ
เปิดกรุ๊ปให้เพื่อนๆ ที่รักการวิ่ง ไปคุยกัน
🏃 ♂ bit.ly/VRUNGROUP
.
#วิ่งไหนกันปั่นไหนดี #Sports #Running
#Cycling#Triathlon#Swimming